ติดตามการใช้งาน

การติดตามการใช้งานช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตามการสืบค้นระดับผู้ใช้ไปจนถึงเนื้อหา

การติดตามการใช้งานเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการระบุว่าการสืบค้นของผู้ใช้รายการใดกำลังทำให้เกิดภาวะคอขวดของประสิทธิภาพการทำงาน โดยอิงตามความถี่และเวลาในการตอบสนอง ผู้ดูแลระบบจะตั้งค่าเกณฑ์เพื่อติดตามการสืบค้นของผู้ใช้และสร้างรายงานการใช้งานที่นำไปใช้งานได้หลากหลาย เช่น การออปติไมซ์ฐานข้อมูล กลยุทธฺการสรุปรวม หรือการเรียกเก็บเงินผู้ใช้หรือแผนกตามทรัพยากรที่ใช้

เกี่ยวกับการติดตามการใช้งาน

คุณสามารถคอนฟิเกอร์การติดตามการใช้งานที่มีคุณสมบัติการกำหนดโมเดลขององค์กร ระบบจะติดตามข้อมูลการใช้งานที่ระดับการสืบค้นของผู้ใช้โดยละเอียด เพื่อให้คุณสามารถตอบคำถาม เช่น

  • ผู้ใช้ใช้งาน Oracle Analytics Cloud อย่างไรบ้าง
  • พวกเขาใช้เวลาหรือไม่ใช้ที่ไหน
  • ผู้ใช้ใช้เวลากับแต่ละเซสชัน ระหว่างเซสชัน และระหว่างการสืบค้นนานเท่าใด
  • การสืบค้นภายในเซสชัน ข้ามเซสชัน และข้ามผู้ใช้เกี่ยวข้องกับรายการอื่นๆ อย่างไร
  • ผู้ใช้ดริลล์อัปและดริลล์ดาวน์ในการวิเคราะห์อย่างไร
  • มีการรันการสืบค้นใดบ้างเมื่อรายงานปัญหา

สถิติการใช้งานที่คุณรวบรวมสามารถช่วยคุณตรวจสอบการใช้งานและประสิทธิภาพของระบบเพื่อที่คุณจะได้สามารถเข้าใจและคาดการณ์ลักษณะการทำงานได้ดีขึ้น คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดหากคุณทราบล่วงหน้าว่าจะมีการใช้งานระบบของคุณอย่างไร

เมื่อคุณใช้งานการติดตามการใช้งาน ระบบจะรวบรวมเรคคอร์ดข้อมูลสำหรับการสืบค้นทั้งหมดที่รัน และจะเขียนทั้งหมดไปยังตารางฐานข้อมูล ทั้งการสืบค้นแบบลอจิคัลและฟิสิคัลได้รับการติดตามและบันทึกในตารางแยกต่างหาก พร้อมกับการวัดประสิทธิภาพต่างๆ เช่น เวลาที่ใช้ในการรันการสืบค้นและจำนวนแถวที่ค้นหาขณะประมวลผลการสืบค้นของผู้ใช้

ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการติดตามการใช้งาน

หากคุณต้องการติดตามการใช้งาน ตรวจสอบว่าคุณมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดเบื้องต้นต่อไปนี้

  • คุณใช้ Semantic Modeler หรือ Model Administration Tool เพื่อจัดการโมเดลรูปแบบภาษาของคุณในปัจจุบัน

    ในการคอนฟิเกอร์การติดตามการใช้งาน คุณต้องเพิ่มรายละเอียดฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานไปยังโมเดลรูปแบบภาษาของคุณโดยใช้ Semantic Modeler หรือ Model Administration Tool

  • คุณมีสิทธิ์ในการเข้าใช้ที่ถูกต้องสำหรับฐานข้อมูลที่คุณต้องการจัดเก็บข้อมูลการใช้งาน

    คุณต้องมีชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านสำหรับผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ในการสร้างตารางการติดตามการใช้งานในสคีมาฐานข้อมูลและเขียนข้อมูลการใช้งานไปยังตาราง

  • ฐานข้อมูลรองรับการติดตามการใช้งาน: Oracle Database หรือ Oracle Autonomous Data Warehouse
  • คุณได้สร้างการเชื่อมต่อข้อมูลกับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานด้วยการตั้งค่าต่อไปนี้ โปรดดู เชื่อมต่อกับข้อมูล
    • การเชื่อมต่อระบบ - เลือกช่องทำเครื่องหมาย การเชื่อมต่อระบบ

      เมื่อคุณเลือกช่องทำเครื่องหมาย การเชื่อมต่อระบบ การเชื่อมต่อนั้นจะใช้ได้ใน Semantic Modeler เช่นเดียวกับใน Model Administration Tool ตัวเลือก การเชื่อมต่อระบบ จะช่วยให้คุณสามารถเลือก ใช้การเชื่อมต่อข้อมูล และป้อน ID ออบเจกต์ ของการเชื่อมต่อ แทนที่จะต้องป้อนรายละเอียดการเชื่อมต่อด้วยตนเองในฟิลด์ ชื่อที่มาข้อมูล โปรดดู ระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

    • ชื่อผู้ใช้ และ รหัสผ่าน - ชื่อผู้ใช้ ต้องตรงกับชื่อของสคีมาในฐานข้อมูลที่คุณต้องการใช้สำหรับการติดตามการใช้งาน ตัวอย่างเช่น หากสคีมาที่คุณต้องการใช้มีชื่อว่า UT_Schema ชื่อผู้ใช้ ก็ต้องเป็น UT_Schema

    หมายเหตุ:

    หากคุณใช้ Model Administration Tool คุณยังสามารถกำหนดการเชื่อมต่อฐานข้อมูลสำหรับโมเดลรูปแบบภาษา และฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานโดยใช้คอนโซลได้ด้วย โปรดดู เชื่อมต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูล Oracle Cloud หากคุณใช้คอนโซล คุณสามารถเลือก ใช้การเชื่อมต่อคอนโซล และป้อน ชื่อ ของการเชื่อมต่อ ขณะระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานใน Model Administration Tool แทนที่จะป้อนรายละเอียดการเชื่อมต่อในฟิลด์ ชื่อที่มาข้อมูล

หากคุณต้องการใช้ Oracle Autonomous Data Warehouse เป็นฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน ให้ทำงานเพิ่มเติมเหล่านี้ให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนที่คุณจะระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานในโมเดลรูปแบบภาษาของคุณ:

เกี่ยวกับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

ระบบจะจัดเก็บรายละเอียดการติดตามการใช้งานที่คุณระบุ ฐานข้อมูลนี้อาจเป็น Oracle Database หรือ Oracle Autonomous Data Warehouse ก็ได้ คุณจะระบุรายละเอียดฐานข้อมูลและพูลการเชื่อมต่อในโมเดลรูปแบบภาษาของคุณโดยใช้ Semantic Modeler หรือ Model Administration Tool

โปรดดู ระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

เกี่ยวกับพารามิเตอร์การติดตามการใช้งาน

หลังจากที่ระบุฐานข้อมูลที่คุณต้องการจัดเก็บข้อมูลการติดตามการใช้งาน คุณต้องตั้งค่าพารามิเตอร์การติดตามการใช้งานต่างๆ ผ่านคอนโซล (เพจ การตั้งค่าระบบขั้นสูง)

พารามิเตอร์ที่ต้องใช้คอนฟิเกอร์การติดตามการใช้งาน มีดังนี้

  • ใช้งานการติดตามการใช้งาน
  • ชื่อพูลการเชื่อมต่อ
  • ชื่อตารางการล็อกการสืบค้นแบบฟิสิคัลและลอจิคัล
  • จำนวนแถวการสืบค้นสูงสุดในตารางการติดตามการใช้งาน
หลังจากที่คุณตั้งค่าพารามิเตอร์เหล่านี้และใช้การเปลี่ยนแปลงแล้ว Oracle Analytics จะทำดังนี้
  • สร้างตารางการล็อกการสืบค้นแบบฟิสิคัลและลอจิคัลในฐานข้อมูลที่ระบุในโมเดลรูปแบบภาษา ชื่อตารางจะตั้งตามชื่อที่คุณระบุในพารามิเตอร์ชื่อของตารางการล็อกการสืบค้นแบบฟิสิคัลและลอจิคัล
  • เริ่มต้นล็อกข้อมูลการติดตามการใช้งานในตารางเหล่านี้

โปรดดู ตั้งค่าพารามิเตอร์การติดตามการใช้งาน

เกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งาน

คุณสามารถใช้ระบบเพื่อสร้างรายงานการใช้งานที่มีประโยชน์จากข้อมูลการติดตามที่เพิ่มในตารางการล็อกการสืบค้นแบบฟิสิคัลและลอจิคัล

คุณสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล สร้างชุดข้อมูลจากตาราง และสร้างรายงานและการแสดงข้อมูลเพื่อช่วยคุณทำความเข้าใจการสืบค้นของผู้ใช้ของคุณ และดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

ทำความเข้าใจตารางการติดตามการใช้งาน

ระบบจะจัดเก็บข้อมูลการติดตามการใช้งานในตารางฐานข้อมูลสามตาราง

กระบวนการติดตามการใช้งานสร้างตารางเหล่านี้ด้วยชื่อตารางที่คุณระบุผ่านการตั้งค่าในเพจการตั้งค่าระบบ

  • ตารางการล็อกการสืบค้นแบบลอจิคัลของการติดตามการใช้งาน
  • ตารางการล็อกการสืบค้นแบบฟิสิคัลของการติดตามการใช้งาน
  • ตารางบล็อคการเริ่มต้นการติดตามการใช้งาน

โปรดดู ตั้งค่าพารามิเตอร์การติดตามการใช้งาน

ตารางการล็อกการสืบค้นแบบลอจิคัลของการติดตามการใช้งาน

ตารางต่อไปนี้อธิบายแต่ละคอลัมน์ในตารางฐานข้อมูลที่ติดตามการสืบค้นแบบลอจิคัล จะมีการระบุประเภทข้อมูล เช่น ฟิลด์อักขระตัวแปร (varchar และ varchar2) และความยาวตามความเหมาะสม เมื่อคุณดูคำอธิบายในตารางนี้ คุณอาจถือว่าสามารถบวกหรือลบคอลัมน์เกี่ยวกับเวลาบางคอลัมน์ให้เท่ากับค่าที่แน่นอน ตัวอย่างเช่น คุณอาจถือว่า TOTAL_TIME_SEC เท่ากับ END_TS ลบ START_TS คอลัมน์จะไม่ระบุค่าที่แน่นอนเนื่องจากเหตุผลต่อไปนี้
  • กระบวนการต่างๆ รันแบบขนานและความเร็วของกระบวนการขึ้นอยู่กับปริมาณและประสิทธิภาพของฐานข้อมูล การดำเนินการที่ใช้เซิร์ฟเวอร์อาจเป็นการดำเนินการที่ใช้ข้อมูลน้อยหรือมากก็ได้
  • หากการเชื่อมต่อทั้งหมดเต็ม การสืบค้นจะเข้าคิวและรอประมวลผล ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับปริมาณและคอนฟิเกอเรชัน

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ เซสชัน และ ID

คอลัมน์ คำอธิบาย

ID

ในตารางการสืบค้นแบบลอจิคัล คอลัมน์นี้ระบุตัวระบุแถวที่ไม่ซ้ำกัน ในตารางการสืบค้นแบบฟิสิคัล คอลัมน์นี้แสดงตามชื่อ LOGICAL_QUERY_ID

NODE_ID

มี <hostname>:obis1 ตัวอย่างเช่น examplehost:obis1 (สำหรับอินสแตนซ์เดียว)

PRESENTATION_NAME

ระบุชื่อของแคตตาล็อก ค่าดีฟอลต์คือ Null ประเภทข้อมูลคือ Varchar(128)

IMPERSONATOR_USER_NAME

ระบุชื่อผู้ใช้ของผู้ใช้ที่ได้รับการระบุชื่อ หากคำขอไม่ได้รันเป็นผู้ใช้ที่ได้รับการระบุชื่อผู้ใช้ ค่าจะเป็น None ค่าดีฟอลต์คือ None ประเภทข้อมูลคือ Varchar(128)

USER_NAME

ระบุชื่อของผู้ใช้ที่ส่งการสืบค้น

ECID ระบุ ID คอนเท็กซ์การรันที่ระบบสร้าง ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(1024)
TENANT_ID ระบุชื่อรายการภายในของผู้ใช้ที่รันบล็อคการเริ่มต้น ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)
SERVICE_NAME ระบุชื่อของบริการ ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)
SESSION_ID ระบุ ID ของเซสชัน ประเภทข้อมูลคือตัวเลข(10)
HASH_ID ระบุค่า HASH สำหรับการสืบค้นแบบลอจิคัล ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับต้นทางการสืบค้น

คอลัมน์ คำอธิบาย

QUERY_SRC_CD

ที่มาของคำขอ

โปรดทราบว่าผู้ขอสามารถตั้งค่า QUERY_SRC_CD เป็นค่าสตริงใดๆ เพื่อระบุข้อมูลของตัวเอง

ค่าที่เป็นไปได้มีดังนี้
  • Report - หากที่มาเป็นการวิเคราะห์หรือการดำเนินการเอ็กซ์ปอร์ตใดๆ
  • ดริลล์ - หากที่มาเป็นการเปลี่ยนแปลงไดเมนชันที่เกิดจากการดริลล์อัปหรือดริลล์ดาวน์
  • ValuePrompt - หากที่มาเป็นลิสต์ดรอปดาวน์ของค่าในไดอะล็อกฟิลเตอร์หรือพรอมต์แผงข้อมูล
  • VisualAnalyzer - หากที่มาเป็นเวิร์กบุคที่จะแสดงข้อมูล
  • DisplayValueMap หรือ MemberBrowserDisplayValues หรือ MemberBrowserPath - หากที่มาเป็นค่าที่เกี่ยวข้องกับการแสดงการวิเคราะห์
  • SOAP - หากที่มาเป็นการเรียกจากเว็บเซอร์วิส เช่น DataSetSvc
  • Seed - หากที่มาเป็นเอเจนต์ที่สร้างตัวเลือกแคชของเซิร์ฟเวอร์การวิเคราะห์
  • Null - หากที่มาเป็นตารางแบบฟิสิคัลของ Admininistration Tool หรือจำนวนแถวคอลัมน์ หรือข้อมูลวิว

SAW_DASHBOARD

ระบุชื่อพาธของแผงข้อมูล หากไม่ได้ส่งการสืบค้นผ่านแผงข้อมูล ค่าจะเป็น NULL

SAW_DASHBOARD_PG

ระบุชื่อเพจในแผงข้อมูล หากคำขอไม่ได้เป็นคำขอของแผงข้อมูล ค่าจะเป็น NULL ค่าดีฟอลต์คือ Null ประเภทข้อมูลคือ Varchar(150)

SAW_SRC_PATH

ระบุชื่อพาธในแคตตาล็อกสำหรับการวิเคราะห์

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดการสืบค้น

คอลัมน์ คำอธิบาย

ERROR_TEXT

ประกอบด้วยข้อความแสดงข้อผิดพลาดจากฐานข้อมูลแบ็คเอนด์ คอลัมน์นี้ใช้ได้เฉพาะเมื่อตั้งค่า SUCCESS_FLAG เป็นค่าอื่นที่ไม่ใช่ 0 (ศูนย์) หลายข้อความเชื่อมต่อกันและไม่ได้พาร์ซโดยระบบ ค่าดีฟอลต์คือ Null ประเภทข้อมูลคือ Varchar(250)

QUERY_BLOB

ประกอบด้วยคำสั่ง SQL แบบลอจิคัลทั้งหมดโดยไม่มีการตัด คอลัมน์ QUERY_BLOB เป็นสตริงอักขระประเภท Long

QUERY_KEY

ประกอบด้วยแฮชคีย์ MD5 ที่สร้างโดยระบบจากคำสั่ง SQL แบบลอจิคัล ค่าดีฟอลต์คือ Null ประเภทข้อมูลคือ Varchar(128)

QUERY_TEXT

ระบุคำสั่ง SQL ที่ถูกส่งสำหรับการสืบค้น ประเภทข้อมูลคือ Varchar(1024)

คุณสามารถเปลี่ยนแปลงความยาวของคอลัมน์นี้ (โดยใช้คำสั่ง ALTER TABLE) แต่โปรดทราบว่าข้อความที่เขียนในคอลัมน์นี้จะถูกตัดเป็นขนาดที่กำหนดไว้ในเลเยอร์แบบฟิสิคัลเสมอ ผู้ดูแลระบบโมเดลรูปแบบภาษาต้องไม่ตั้งค่าความยาวของคอลัมน์นี้เป็นค่าที่มากกว่าความยาวสูงสุดของการสืบค้นที่ฐานข้อมูลแบ็คเอนด์แบบฟิสิคัลรองรับ ตัวอย่างเช่น Oracle Databases ใช้งาน Varchar สูงสุดที่ 4000 แต่ Oracle Databases ตัดที่ 4000 ไบต์ ไม่ใช่ 4000 อักขระ หากคุณใช้ชุดอักขระหลายไบต์ ขนาดสตริงสูงสุดตามจริงจะมีจำนวนอักขระที่ต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับชุดอักขระและอักขระที่ใช้

REPOSITORY_NAME

ระบุชื่อของโมเดลรูปแบบภาษาที่การสืบค้นเข้าถึง

SUBJECT_AREA_NAME

ประกอบด้วยชื่อของโมเดลธุรกิจที่กำลังเข้าใช้

SUCCESS_FLG

ระบุสถานะความสมบูรณ์ของการสืบค้น ตามที่กำหนดไว้ในลิสต์ต่อไปนี้

  • 0 - การสืบค้นเสร็จสมบูรณ์โดยไม่มีข้อผิดพลาด
  • 1 - การสืบค้นไทม์เอาต์
  • 2 - การสืบค้นล้มเหลวเนื่องจากเกิดขีดจำกัดของแถว
  • 3 - การสืบค้นล้มเหลวเนื่องจากเหตุผลอื่น

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาการรัน

คอลัมน์ คำอธิบาย

COMPILE_TIME_SEC

ประกอบด้วยเวลาที่ต้องใช้ในการคอมไพล์การสืบค้นเป็นวินาที จำนวนสำหรับ COMPILE_TIME_SEC รวมอยู่ใน TOTAL_TIME_SEC

END_DT

ระบุวันที่ที่การสืบค้นแบบลอจิคัลเสร็จสมบูรณ์

END_HOUR_MIN

ระบุชั่วโมงและนาทีที่การสืบค้นแบบลอจิคัลเสร็จสมบูรณ์

END_TS

ระบุวันที่และเวลาที่การสืบค้นแบบลอจิคัลเสร็จสมบูรณ์ เวลาระบบเริ่มต้นและสิ้นสุดจะแสดงเวลาที่การสืบค้นใช้ขณะรอให้ทรัพยากรใช้งานได้ด้วย หากผู้ใช้ที่ส่งการสืบค้นนาวิเกตออกจากเพจก่อนที่การสืบค้นจะเสร็จสิ้น การดึงข้อมูลขั้นสุดท้ายจะไม่เกิดขึ้นและจะมีการบันทึกค่าไทม์เอาต์ที่ 3600 อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้นาวิเกตกลับมาที่เพจก่อนไทม์เอาต์ การดึงข้อมูลจะเสร็จสมบูรณ์ในเวลานั้น ซึ่งจะถูกบันทึกเป็นเวลา end_ts

START_DT

ระบุวันที่ที่มีการส่งการสืบค้นแบบลอจิคัล

START_HOUR_MIN

ระบุชั่วโมงและนาทีที่มีการส่งการสืบค้นแบบลอจิคัล

START_TS

ระบุวันที่และเวลาที่มีการส่งการสืบค้นแบบลอจิคัล

TOTAL_TIME_SEC

ระบุเวลาเป็นวินาทีที่ระบบใช้ในการทำงานกับการสืบค้นขณะที่ไคลเอนต์รอการตอบกลับไปยังการวิเคราะห์ TOTAL_TIME_SEC รวมเวลาสำหรับ COMPILE_TIME_SEC

RESP_TIME_SEC ระบุเวลาที่ใช้สำหรับการตอบกลับการสืบค้น ประเภทข้อมูลคือตัวเลข(10)

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดการรัน

คอลัมน์ คำอธิบาย

CUM_DB_TIME_SEC

ประกอบด้วยเวลาสะสมของการสืบค้นทั้งหมดที่ส่งไปยังฐานข้อมูล การสืบค้นจะรันแบบขนาน เวลาการสืบค้นสะสมจึงเท่ากับหรือมากกว่าเวลาทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคำขอแบบลอจิคัลสร้างคำสั่ง SQL แบบฟิสิคัล 4 รายการที่ส่งไปยังฐานข้อมูล และเวลาการสืบค้นสำหรับการสืบค้น 3 รายการคือ 10 วินาที และสำหรับการสืบค้นหนึ่งรายการคือ 15 วินาที CUM_DB_TIME_SEC จะแสดง 45 วินาทีเนื่องจากการสืบค้นรันแบบขนาน

CUM_NUM_DB_ROW

ประกอบด้วยจำนวนของแถวทั้งหมดที่ส่งกลับโดยฐานข้อมูลแบ็คเอนด์

NUM_DB_QUERY

ระบุจำนวนการสืบค้นที่ถูกส่งไปยังฐานข้อมูลแบ็คเอนด์เพื่อให้เป็นไปตามคำขอการสืบค้นแบบลอจิคัล สำหรับการสืบค้นที่สำเร็จ (SuccessFlag = 0) ตัวเลขนี้คือ 1 หรือมากกว่า

ROW_COUNT

ระบุจำนวนของแถวที่ส่งกลับไปยังไคลเอนต์การสืบค้น เมื่อมีการส่งกลับข้อมูลจำนวนมากจากการสืบค้น ระบบจะไม่ป็อปปูเลทคอลัมน์นี้จนกว่าผู้ใช้จะแสดงข้อมูลทั้งหมด

TOTAL_TEMP_KB ระบุ KB ทั้งหมดที่ได้รับสำหรับการสืบค้น ประเภทข้อมูลคือตัวเลข(10)

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับการแคช

คอลัมน์ คำอธิบาย

CACHE_IND_FLG

ใส่ค่า Y เพื่อระบุการพบข้อมูลในแคชสำหรับการสืบค้น ใส่ค่า N ระบุการไม่พบข้อมูลในแคช ค่าดีฟอลต์คือ N

NUM_CACHE_HITS

ระบุจำนวนครั้งที่แสดงผลลัพธ์ของแคชสำหรับการสืบค้น NUM_CACHE_HITS เป็นจำนวนเต็ม 32 บิต (หรือจำนวนเต็ม 10 หลัก) ค่าดีฟอลต์คือ Null

NUM_CACHE_INSERTED

ระบุจำนวนครั้งที่การสืบค้นสร้างรายการแคช ค่าดีฟอลต์คือ Null NUM_CACHE_INSERTED เป็นจำนวนเต็ม 32 บิต (หรือจำนวนเต็ม 10 หลัก)

ตารางการล็อกการสืบค้นแบบฟิสิคัลของการติดตามการใช้งาน

ตารางต่อไปนี้อธิบายตารางฐานข้อมูลที่ติดตามการสืบค้นแบบฟิสิคัล ตารางฐานข้อมูลนี้จะบันทึกข้อมูล SQL แบบฟิสิคัลสำหรับการสืบค้นแบบลอจิคัลที่จัดเก็บอยู่ในตารางการล็อกการสืบค้นแบบลอจิคัล ตารางการสืบค้นแบบฟิสิคัลมีความสัมพันธ์ของฟอรีนคีย์กับตารางการสืบค้นแบบลอจิคัล

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ เซสชัน และ ID

คอลัมน์ คำอธิบาย

ID

ระบุตัวระบุแถวที่ไม่ซ้ำกัน

LOGICAL_QUERY_ID

โปรดดูการสืบค้นแบบลอจิคัลในตารางการล็อกการสืบค้นแบบลอจิคัล ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(50)

HASH_ID ระบุค่า HASH สำหรับการสืบค้นแบบลอจิคัล ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)
PHYSICAL_HASH_ID ระบุค่า HASH สำหรับการสืบค้นแบบฟิสิคัล ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดการสืบค้น

คอลัมน์ คำอธิบาย

QUERY_BLOB

ประกอบด้วยคำสั่ง SQL แบบฟิสิคัลทั้งหมดโดยไม่มีการตัด คอลัมน์ QUERY_BLOB เป็นสตริงอักขระประเภท Long

QUERY_TEXT

ประกอบด้วยคำสั่ง SQL ที่ส่งสำหรับการสืบค้น ประเภทข้อมูลคือ Varchar(1024)

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาการรัน

คอลัมน์ คำอธิบาย

END_DT

ระบุวันที่ที่การสืบค้นแบบฟิสิคัลเสร็จสมบูรณ์

END_HOUR_MIN

ระบุชั่วโมงและนาทีที่การสืบค้นแบบฟิสิคัลเสร็จสมบูรณ์

END_TS

ระบุวันที่และเวลาที่การสืบค้นแบบฟิสิคัลเสร็จสมบูรณ์ เวลาระบบเริ่มต้นและสิ้นสุดจะแสดงเวลาที่การสืบค้นใช้ขณะรอให้ทรัพยากรใช้งานได้ด้วย

TIME_SEC

ระบุเวลาการรันการสืบค้นแบบฟิสิคัล

START_DT

ระบุวันที่ที่มีการส่งการสืบค้นแบบฟิสิคัล

START_HOUR_MIN

ระบุชั่วโมงและนาทีที่มีการส่งการสืบค้นแบบฟิสิคัล

START_TS

ระบุวันที่และเวลาที่มีการส่งการสืบค้นแบบฟิสิคัล

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดการรัน

คอลัมน์ คำอธิบาย

ROW_COUNT

ประกอบด้วยจำนวนของแถวที่ส่งกลับไปยังไคลเอนต์การสืบค้น

ตารางบล็อคการเริ่มต้นการติดตามการใช้งาน

ตารางต่อไปนี้อธิบายตารางฐานข้อมูลที่ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการบล็อคการเริ่มต้น

หมายเหตุ:

ในปัจจุบัน ตารางการติดตามการใช้งานบล็อคการเริ่มต้นมีเพียงบล็อคการเริ่มต้นเซสชันเท่านั้น และไม่รวมบล็อคการเริ่มต้นโมเดลรูปแบบภาษา

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ เซสชัน และ ID

คอลัมน์ คำอธิบาย
USER_NAME ชื่อของผู้ใช้ที่รันการบล็อคการเริ่มต้น ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)
TENANT_ID ชื่อรายการภายในของผู้ใช้ที่รันบล็อคการเริ่มต้น ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)
SERVICE_NAME ชื่อของเซอร์วิส ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)
ECID ID คอนเท็กซ์การรันที่ระบบสร้าง ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(1024)
SESSION_ID ID ของเซสชัน ประเภทข้อมูลคือตัวเลข(10)

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดการสืบค้น

คอลัมน์ คำอธิบาย
REPOSITORY_NAME ชื่อของโมเดลรูปแบบภาษาที่การสืบค้นเข้าถึง ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)
BLOCK_NAME ชื่อของการบล็อคการเริ่มต้นที่รัน ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(128)

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาการรัน

คอลัมน์ คำอธิบาย
START_TS วันที่และเวลาที่การบล็อคการเริ่มต้นเริ่มต้น
END_TS วันที่และเวลาที่การบล็อคการเริ่มต้นเสร็จสิ้น เวลาระบบเริ่มต้นและสิ้นสุดจะแสดงเวลาที่การสืบค้นใช้ขณะรอให้ทรัพยากรใช้งานได้ด้วย
DURATION ระยะเวลาที่ใช้ในการรันการบล็อคการเริ่มต้น ประเภทข้อมูลคือตัวเลข(13,3)

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดการรัน

คอลัมน์ คำอธิบาย
NOTES หมายเหตุเกี่ยวกับการบล็อคการเริ่มต้นและการรัน ประเภทข้อมูลคือ Varchar2(1024)

เวิร์กโฟลว์ทั่วไปสำหรับติดตามการใช้งาน

ต่อไปนี้คืองานสำหรับการติดตามการสืบค้นระดับผู้ใช้ในOracle Analytics Cloud

งาน คำอธิบาย ข้อมูลเพิ่มเติม

ตัดสินใจว่าจะจัดเก็บข้อมูลการติดตามการใช้งานของคุณไว้ที่ใด

ทำความเข้าใจว่าคุณสามารถใช้ฐานข้อมูลประเภทใดสำหรับการติดตามการใช้งานได้บ้าง

เกี่ยวกับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

ตั้งค่าการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

สร้างการเชื่อมต่อข้อมูล (หรือการเชื่อมต่อคอนโซล) กับฐานข้อมูลที่คุณต้องการจัดเก็บข้อมูลการติดตามการใช้งาน

ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการติดตามการใช้งาน

ระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

กำหนดฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานในโมเดลรูปแบบภาษาของคุณ

ระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

ระบุพารามิเตอร์การติดตามการใช้งาน

ใช้งานการติดตามการใช้งานสำหรับระบบของคุณ จากนั้นระบุรายละเอียดการเชื่อมต่อและชื่อตารางสำหรับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

ตั้งค่าพารามิเตอร์การติดตามการใช้งาน

วิเคราะห์ข้อมูลการติดตามการใช้งาน

สร้างรายงานการใช้งานจากข้อมูลการติดตามการใช้งาน

วิเคราะห์ข้อมูลการติดตามการใช้งาน

ระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

ก่อนที่คุณจะสามารถติดตามการใช้งานรายงาน แผงข้อมูล และเวิร์กบุคการแสดงข้อมูลบนระบบของคุณ คุณต้องระบุฐานข้อมูลที่คุณต้องการจัดเก็บข้อมูลการติดตามการใช้งานในโมเดลรูปแบบภาษาก่อน

ฐานข้อมูลที่คุณระบุต้องมีสคีมากำหนดไว้อย่างน้อย 1 สคีมา ระบบจะสร้างตารางการติดตามการใช้งานในสคีมาซึ่งชื่อตรงกับชื่อผู้ใช้ที่คุณระบุในรายละเอียดการเชื่อมต่อฐานข้อมูล ตัวอย่างเช่น ถ้าชื่อของสคีมาในฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานคือ “UT_Schema” คุณต้องระบุ "UT_Schema" ในฟิลด์ ชื่อผู้ใช้ สำหรับการเชื่อมต่อ ตารางการติดตามการใช้งานจะถูกสร้างขึ้นในสคีมาชื่อ “UT_Schema”

คุณต้องคอนฟิเกอร์ฐานข้อมูลและรายละเอียดพูลการเชื่อมต่อในเลเยอร์แบบฟิสิคัลของโมเดลรูปแบบภาษาของคุณ ใช้ Semantic Modeler หรือ Model Administration Tool เพื่อคอนฟิเกอร์ฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

หากคุณต้องการใช้ Oracle Autonomous Data Warehouse เป็นฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน คุณต้องทำงานเพิ่มเติมบางอย่างเกี่ยวกับ Oracle Autonomous Data Warehouse ให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนที่คุณจะระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน โปรดดู ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการติดตามการใช้งาน

ระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานโดยใช้ Semantic Modeler

ใช้ Semantic Modeler เพื่อคอนฟิเกอร์ฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน หากขณะนี้คุณใช้ Semantic Modeler เพื่อพัฒนาโมเดลรูปแบบภาษา

  1. หากยังไม่ได้ทำ ให้สร้างการเชื่อมต่อข้อมูลกับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานของคุณโดยเลือกตัวเลือก การเชื่อมต่อระบบ
    ประเภทฐานข้อมูลต้องเป็น Oracle Database หรือ Oracle Autonomous Data Warehouse และ ชื่อผู้ใช้ ที่ใช้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลต้องตรงกับชื่อของสคีมาที่คุณต้องการจัดเก็บตารางการติดตามผู้ใช้ โปรดดู ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการติดตามการใช้งาน
  2. ในโฮมเพจ ให้คลิก นาวิเกเตอร์ แล้วคลิก โมเดลรูปแบบภาษา ในเพจโมเดลรูปแบบภาษา ให้คลิกโมเดลรูปแบบภาษาเพื่อเปิด
  3. สร้างออบเจกต์ฐานข้อมูลสำหรับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน
    1. คลิก เลเยอร์แบบฟิสิคัล
    2. ในช่องเลเยอร์แบบฟิสิคัล ให้คลิก สร้าง แล้วคลิก สร้างฐานข้อมูล
    3. ใน ชื่อ ให้ป้อนชื่อสำหรับฐานข้อมูลของโมเดลรูปแบบภาษาของคุณ (เช่น UsageTracking) และคลิก ตกลง
  4. เพิ่มพูลการเชื่อมต่อเพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน
    1. ในแท็บฐานข้อมูล ให้คลิก พูลการเชื่อมต่อ
    2. คลิก เพิ่มที่มา
    3. ดับเบิลคลิกฟิลด์ ชื่อ แล้วป้อนชื่อสำหรับพูลการเชื่อมต่อ ตัวอย่างเช่น UTConnectionPool
    4. ดับเบิลคลิกฟิลด์ การเชื่อมต่อ แล้วเลือกการเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่คุณต้องการใช้จากลิสต์ ตัวอย่างเช่น MyUTDatabase

      หมายเหตุ:

      • การเชื่อมต่อระบบ - โมเดลรูปแบบภาษาสามารถใช้ได้เฉพาะการเชื่อมต่อข้อมูลที่ได้เลือก การเชื่อมต่อระบบ ไว้เท่านั้น โปรดดู

      • ชื่อผู้ใช้ และ รหัสผ่าน - ชื่อผู้ใช้ ที่ระบุในการเชื่อมต่อข้อมูลต้องตรงกับชื่อของสคีมาในฐานข้อมูลที่คุณต้องการใช้สำหรับการติดตามการใช้งาน ตัวอย่างเช่น หากสคีมาที่คุณต้องการใช้มีชื่อว่า UT_Schema ชื่อผู้ใช้ ก็ต้องเป็น UT_Schema โปรดดู ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการติดตามการใช้งาน

    5. คลิก เปิดรายละเอียด ในช่องพูลการเชื่อมต่อ ให้ตรวจสอบว่าไม่ได้เลือกช่องทำเครื่องหมาย ต้องระบุชื่อตารางแบบเต็ม
  5. ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของคุณ โปรดดู
  6. บันทึกการเปลี่ยนแปลงของคุณ

ระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานโดยใช้ Model Administration Tool

ใช้ Model Administration Tool เพื่อคอนฟิเกอร์ฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน หากขณะนี้คุณใช้ Model Administration Tool เพื่อพัฒนาโมเดลรูปแบบภาษา

คุณไม่จำเป็นต้องอัปเดตโมเดลรูปแบบภาษาของคุณ หากคุณต้องการติดตามการใช้งานในฐานข้อมูลหรือพูลการเชื่อมต่อที่มีอยู่ คุณสามารถข้ามขั้นตอนเหล่านี้ได้ คุณสามารถใช้ฐานข้อมูล, พูลการเชื่อมต่อ และตารางที่มีอยู่ให้เป็นส่วนหนึ่งของคอนฟิเกอเรชันระบบติดตามการใช้งาน การติดตามการใช้งานจะไม่ลบตารางที่มีอยู่ และสร้างตารางใหม่ด้วยชื่อเดียวกัน หากสคีมาตารางจับคู่ระหว่างตารางเก่าและตารางใหม่
  1. ใน Model Administration Tool ให้เปิดโมเดลรูปแบบภาษาในคลาวด์
    จากเมนู ไฟล์ ให้เลือก เปิด แล้วเลือก ในคลาวด์ และป้อนข้อมูลการเชื่อมต่อสำหรับอินสแตนซ์ของคุณ
  2. ระบุฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน:
    1. ในเลเยอร์แบบฟิสิคัลของโมเดลรูปแบบภาษา ให้คลิกขวาและเลือก ฐานข้อมูลใหม่
    2. ในไดอะล็อกฐานข้อมูล ให้ระบุชื่อสำหรับฐานข้อมูลของโมเดลรูปแบบภาษาของคุณ เช่น SQLDB_UsageTracking ให้ระบุประเภทฐานข้อมูล เช่น Oracle 12c และคลิก ตกลง
    3. คลิกขวาที่ฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นใหม่ เลือก ออบเจกต์ใหม่ แล้วเลือก พูลการเชื่อมต่อ
    4. ในไดอะล็อกพูลการเชื่อมต่อ ให้ป้อนรายละเอียดพูลการเชื่อมต่อและระบุค่าสำหรับ:
      • อินเตอร์เฟซการเรียกใช้: เลือกค่าดีฟอลต์ (Oracle Call Interface (OCI))
      • ต้องระบุชื่อตารางแบบเต็ม: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้เลือกช่องทำเครื่องหมายนี้
      • ชื่อที่มาข้อมูล**: ระบุที่มาข้อมูลที่คุณต้องการให้พูลการเชื่อมต่อนี้เชื่อมต่อและส่งการสืบค้นแบบฟิสิคัล ตัวอย่างเช่น:(DESCRIPTION =(ADDRESS = (PROTOCOL = TCP)(HOST = <DB Host>)(PORT = <DB port>))(CONNECT_DATA =(SERVER = DEDICATED)(SERVICE_NAME = <Servicename>)))
      • ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน: ป้อนชื่อผู้ใช้ที่ ตรงกับชื่อของสคีมา ที่มีอยู่ในฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน

      **แทนที่จะระบุ ชื่อที่มาข้อมูล คุณสามารถอ้างอิงการเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่มีอยู่ “ตามชื่อ” ในไดอะล็อกพูลการเชื่อมต่อ

      • การเชื่อมต่อข้อมูล - หากต้องการใช้รายละเอียดการเชื่อมต่อสำหรับฐานข้อมูลที่กำหนดไว้ผ่านทางแท็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน ให้เลือก ใช้การเชื่อมต่อข้อมูล และป้อน ID ออบเจกต์ ของการเชื่อมต่อ แทนที่จะต้องป้อนรายละเอียดการเชื่อมต่อด้วยตนเองในฟิลด์ ชื่อที่มาข้อมูล ตรวจสอบว่ามีการสร้างการเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่คุณต้องการใช้โดยเลือกตัวเลือก การเชื่อมต่อระบบ เอาไว้
      • การเชื่อมต่อคอนโซล - หากคุณใช้ Model Administration Tool คุณอาจกำหนดการเชื่อมต่อฐานข้อมูลสำหรับโมเดลรูปแบบภาษาโดยใช้คอนโซล หากต้องการใช้รายละเอียดการเชื่อมต่อสำหรับฐานข้อมูลที่กำหนดไว้ผ่านทางคอนโซลเป็นฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน ให้เลือกช่องทำเครื่องหมาย ใช้การเชื่อมต่อคอนโซล แล้วป้อนชื่อการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในฟิลด์ ชื่อการเชื่อมต่อ

      ตัวอย่างเช่น

      คำอธิบาย GUID-1A533EBC-8DC0-46F0-82AE-2A9251BBA01E-default.gif มีดังนี้
      .gif
  3. ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของคุณด้วยการคลิก เครื่องมือ, แสดงตัวตรวจสอบความถูกต้อง แล้วคลิก ตรวจสอบออบเจกต์ทั้งหมด
  4. ทางเลือก: บันทึกการเปลี่ยนแปลงภายในระบบโดยคลิก ไฟล์ แล้วคลิก บันทึก
  5. อัปโหลดไฟล์ .rpd ของโมเดลรูปแบบภาษาที่คุณแก้ไข โดยคลิก ไฟล์, คลาวด์ แล้วคลิก เผยแพร่

ตั้งค่าพารามิเตอร์การติดตามการใช้งาน

ในการเริ่มบันทึกข้อมูลการใช้งาน คุณต้องระบุรายละเอียดการเชื่อมต่อสำหรับฐานข้อมูลที่คุณต้องการใช้และชื่อของตารางฐานข้อมูลที่ใช้ในการติดตามการใช้งาน คุณจะตั้งค่าพารามิเตอร์เหล่านี้ผ่านคอนโซล (เพจ การตั้งค่าระบบขั้นสูง)

  1. เข้าสู่ระบบบริการของคุณ
  2. คลิก คอนโซล
  3. คลิก การตั้งค่าระบบขั้นสูง
  4. คลิก การติดตามการใช้งาน
  5. ใช้งานการติดตามการใช้งานสำหรับระบบของคุณ ตรวจสอบว่า ใช้งานการติดตามการใช้งาน เปิดอยู่
  6. ตั้งค่าคุณสมบัติต่อไปนี้
    • พูลการเชื่อมต่อการติดตามการใช้งาน

      ชื่อของพูลการเชื่อมต่อที่คุณสร้างไว้สำหรับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งานของคุณในรูปแบบ <ชื่อฐานข้อมูล>.<ชื่อพูลการเชื่อมต่อ> ตัวอย่างเช่น UsageTracking.UTConnectionPool

    • ตารางบล็อคการเริ่มต้นการติดตามการใช้งาน

      ชื่อตารางฐานข้อมูลที่คุณต้องการใช้เพื่อจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการบล็อคการเริ่มต้นในรูปแบบ <ชื่อฐานข้อมูล>.<ชื่อแคตตาล็อก>.<ชื่อสคีมา>.<ชื่อตาราง> หรือ <ชื่อฐานข้อมูล>.<ชื่อสคีมา>.<ชื่อตาราง> ตัวอย่างเช่น UsageTracking.UT_Schema.InitBlockInfo

    • ตารางการล็อกการสืบค้นแบบฟิสิคัลของการติดตามการใช้งาน

      ชื่อตารางฐานข้อมูลที่คุณต้องการใช้เพื่อจัดเก็บรายละเอียดการสืบค้นแบบฟิสิคัลในรูปแบบ <ชื่อฐานข้อมูล>.<ชื่อแคตตาล็อก>.<ชื่อสคีมา>.<ชื่อตาราง> หรือ <ชื่อฐานข้อมูล>.<ชื่อสคีมา>.<ชื่อตาราง> ตัวอย่างเช่น UsageTracking.UT_Schema.PhysicalQueries

    • ตารางการล็อกการสืบค้นแบบลอจิคัลของการติดตามการใช้งาน

      ชื่อตารางฐานข้อมูลที่คุณต้องการใช้เพื่อจัดเก็บรายละเอียดการสืบค้นแบบลอจิคัลในรูปแบบ <ชื่อฐานข้อมูล>.<ชื่อแคตตาล็อก>.<ชื่อสคีมา>.<ชื่อตาราง> หรือ <ชื่อฐานข้อมูล>.<ชื่อสคีมา>.<ชื่อตาราง> ตัวอย่างเช่น UsageTracking.UT_Schema.LogicalQueries

    • แถวสูงสุดของการติดตามการใช้งาน

      จำนวนแถวสูงสุดที่คุณต้องการในตารางการติดตามการใช้งาน ค่าต่ำสุดคือ 1, สูงสุดคือ 100,000 และ 0 หมายถึงไม่จำกัด จำนวนแถวมากกว่าจำนวนแถวสูงสุด ดังนั้น กระบวนการติดตามการใช้งานจะลบแถวที่เกินออกตามเวลาระบบที่เก่าที่สุด

  7. คลิก ใช้

Oracle Analytics จะสร้างตารางการติดตามการใช้งานและเริ่มต้นล็อกการสืบค้นของผู้ใช้

วิเคราะห์ข้อมูลการติดตามการใช้งาน

สร้างรายงานการใช้งานเพื่อทำความเข้าใจการสืบค้นของผู้ใช้และดำเนินการที่เหมาะสม

วิเคราะห์ข้อมูลการติดตามการใช้งานโดยการสร้างชุดข้อมูล

สร้างรายงานการใช้งานโดยการสร้างชุดข้อมูลจากตารางการล็อกการสืบค้นแบบฟิสิคัลและลอจิคัล เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสืบค้นของผู้ใช้

  1. บนโฮมเพจ ให้คลิก เมนูเพจ และเลือก เปิดโฮมเพจแบบคลาสสิก สร้างและรันการวิเคราะห์
    ระบบจะป็อปปูเลทการสืบค้นในตารางการติดตามการใช้งานในฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน
  2. ในโฮมเพจ ให้คลิก สร้าง แล้วคลิก ชุดข้อมูล
  3. ใน "สร้างชุดข้อมูล" ให้คลิกที่การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน และเลือกสคีมาที่ระบุในชื่อตาราง "การสืบค้นแบบฟิสิคัล" และ "การล็อกการสืบค้นแบบลอจิคัล" ในการตั้งค่าระบบ ตัวอย่างเช่น ชื่อสคีมาที่ระบุใน <database name>.<schema name>.<table name> สำหรับชื่อตาราง "การสืบค้นแบบฟิสิคัล" และ "การล็อกการสืบค้นแบบลอจิคัล"
    นี่เป็นการเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่คุณสร้างไว้เพื่อตั้งค่าการติดตามการใช้งาน โปรดดู ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการติดตามการใช้งาน
  4. ใน "เพิ่มชุดข้อมูล" ให้ค้นหาตารางการล็อกการสืบค้นแบบฟิสิคัลของการติดตามการใช้งาน เพิ่มคอลัมน์ ชื่อ และชุดข้อมูลทั้งหมด (ตัวอย่างเช่น การสืบค้นแบบฟิสิคัล) แล้วคลิก เพิ่ม ในทำนองเดียวกัน ให้ค้นหาตารางการล็อกการสืบค้นแบบลอจิคัลของการติดตามการใช้งาน เพิ่มคอลัมน์ ชื่อ และชุดข้อมูลทั้งหมด (ตัวอย่างเช่น การสืบค้นแบบลอจิคัล) แล้วคลิก เพิ่ม
  5. ในเพจผลลัพธ์ของชุดข้อมูล ให้คลิก สร้างเวิร์กบุค เพิ่มชุดข้อมูลทั้งสองไปยังเวิร์กบุค: ตัวอย่างเช่นชุดข้อมูลการสืบค้นแบบฟิสิคัลและการสืบค้นแบบลอจิคัล ตั้งชื่อเวิร์กบุค (ตัวอย่างเช่น การติดตามการใช้งาน)
  6. ในแท็บจัดเตรียมของเวิร์กบุค ให้คลิก ไดอะแกรมข้อมูล และสร้างการรวมระหว่างชุดข้อมูลโดยใช้คอลัมน์ เช่น คอลัมน์ ID
  7. ใน "แสดงข้อมูล" ให้ลากข้อมูลเพื่อสร้างการแสดงข้อมูลตามข้อกำหนดของคุณ
    โปรดูคำอธิบายตารางการติดตามการใช้งานใน "ทำความเข้าใจตารางการติดตามการใช้งาน" เพื่อเลือกคอลัมน์ที่ใช้ได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถสร้างการแสดงข้อมูลเพื่อแสดงว่าการสืบค้นจำนวนเท่าใดใช้เวลาไปเท่าใด

วิเคราะห์ข้อมูลการติดตามการใช้งานโดยใช้หัวเรื่องในโมเดลรูปแบบภาษา

สร้างรายงานการใช้งานโดยใช้หัวเรื่องในโมเดลรูปแบบภาษา เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสืบค้นของผู้ใช้

คุณต้องอิมปอร์ตเมตะดาต้าเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลแบบฟิสิคัลและเมตะดาต้าซิงโครไนซ์กัน ห้ามปรับแต่งโดยการเพิ่มคอลัมน์ใหม่ในตารางการติดตามการใช้งาน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสคีมาไม่ตรงกัน
  1. บนโฮมเพจ ให้คลิก เมนูเพจ และเลือก เปิดโฮมเพจแบบคลาสสิก สร้างและรันการวิเคราะห์
    ระบบจะป็อปปูเลทการสืบค้นในตารางการติดตามการใช้งานในฐานข้อมูลการติดตามการใช้งาน
  2. อิมปอร์ตโมเดลรูปแบบภาษาที่มีการอัปเดตตารางการติดตามการใช้งาน พร้อมด้วยผลลัพธ์การสืบค้น โปรดดู อิมปอร์ตโมเดลที่ใช้งานเพื่อสร้างโมเดลรูปแบบภาษา
  3. บนโฮมเพจ คลิก ข้อมูล จากนั้น ภายใต้ ชุดข้อมูล ให้เลือกหัวเรื่องที่สอดคล้องกับตารางการติดตามการใช้งานเพื่อสร้างเวิร์กบุค
  4. บนเพจเวิร์กบุคใหม่ ใน 'แสดงข้อมูล' ให้ลากข้อมูลเพื่อสร้างการแสดงข้อมูลตามข้อกำหนดของคุณ
    โปรดูคำอธิบายตารางการติดตามการใช้งานใน "ทำความเข้าใจตารางการติดตามการใช้งาน" เพื่อเลือกคอลัมน์ที่ใช้ได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถสร้างการแสดงข้อมูลเพื่อแสดงว่าการสืบค้นจำนวนเท่าใดใช้เวลาไปเท่าใด