คอนฟิเกอร์โปรไฟล์ไคลเอนต์

โปรไฟล์ไคลเอนต์ประกอบด้วยการตั้งค่าที่ผู้ใช้เลือกขณะสแกน อิมปอร์ต และ/หรือสร้างดัชนีเอกสารในไคลเอนต์ Content Capture โปรไฟล์ไคลเอนต์จะควบคุมเรื่องต่างๆ เช่น วิธีสร้างและคั่นเอกสารในแบทช์ กำหนดว่ามีฟิลด์เมตะดาต้าหรือไม่ รวมทั้งจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหลังจากที่ผู้ใช้รีลีสแบทช์ คุณสร้างโปรไฟล์ไคลเอนต์โดยใช้อีลิเมนต์โปรซีเจอร์

โปรดดูหัวข้อเหล่านี้เพื่อให้เข้าใจว่าโปรไฟล์ไคลเอนต์คืออะไรและต้องคอนฟิเกอร์อย่างไร

เกี่ยวกับโปรไฟล์ไคลเอนต์

ผู้ใช้บางรายจะทำหน้าที่บันทึกเอกสารเท่านั้น บางรายสร้างดัชนีสำหรับแบทช์เอกสาร และบางรายมีหน้าที่ทั้งสองอย่าง คุณสามารถคอนฟิเกอร์โปรไฟล์ไคลเอนต์ได้ตามข้อกำหนดเหล่านี้ ในโปรไฟล์ไคลเอนต์ คุณสามารถระบุคำนำหน้าแบทช์ ลำดับความสำคัญของแบทช์ เกณฑ์สำหรับการฟิลเตอร์แบทช์ (ลำดับความสำคัญ, สถานะ, คำนำหน้า เป็นต้น) ในการจำกัดการใช้ของโปรไฟล์ไคลเอนต์ คุณสามารถระบุผู้ใช้เพื่อให้เฉพาะผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สามารถเข้าใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์ในสภาพแวดล้อมของไคลเอนต์ได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถเชื่อมโยงโปรไฟล์เอกสารอย่างน้อยหนึ่งรายการกับโปรไฟล์ไคลเอนต์แต่ละรายการได้

ในการคอนฟิเกอร์โปรไฟล์ไคลเอนต์ คุณต้องระบุการตั้งค่าบนเพจของโปรไฟล์

ตาราง 11-1 คอนฟิเกอเรชันโปรไฟล์ไคลเอนต์

เพจ คอนฟิเกอเรชันหลัก

การตั้งค่าทั่วไป

เลือกการตั้งค่าโปรไฟล์หลักต่างๆ เช่น

  • ต้องการให้ผู้ใช้ใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์ในการบันทึก (สแกนหรืออิมปอร์ต), บันทึกและสร้างดัชนีเอกสาร หรือสร้างดัชนีเอกสารเท่านั้น (โปรดดู คอนฟิเกอร์ประเภทโปรไฟล์ไคลเอนต์)

  • ชื่อโปรไฟล์ไคลเอนต์ที่แสดงให้กับผู้ใช้ไคลเอนต์

  • วิธีการตั้งชื่อแบทช์ที่บันทึกด้วยโปรไฟล์ไคลเอนต์นี้

  • สถานะดีฟอลต์สำหรับแบทช์ที่สร้างขึ้นโดยใช้โปรไฟล์นี้

การตั้งค่าฟิลเตอร์แบทช์

เลือกฟิลเตอร์การแสดงผลแบทช์ ระบุว่าผู้ใช้สามารถมองเห็นแบทช์ต่างๆ ได้ในลิสต์ของช่องแบทช์หรือไม่ เมื่อมีการเลือกโปรไฟล์ไคลเอนต์นี้ รวมถึงลักษณะการแสดงรายการแบทช์ (โปรดดู ฟิลเตอร์ลิสต์แบทช์ที่แสดงต่อผู้ใช้)

การตั้งค่ารูปภาพ

ระบุการตั้งค่าสีและคุณภาพของรูปภาพ ตรวจหาเพจว่าง และจัดการไฟล์ที่ไม่ใช่ภาพที่อิมปอร์ตมา แท็บนี้สามารถใช้ได้เมื่อมีการตั้งค่าฟิลด์ ประเภทโปรไฟล์ เป็น 1 - บันทึกอย่างเดียว หรือ 2 - บันทึกและสร้างดัชนี บนเพจ การตั้งค่าทั่วไป ตัวอย่างเช่น ระบุ:

การตั้งค่าการสร้างดัชนีเอกสาร

คอนฟิเกอร์การแบ่งเอกสาร ลิสต์ตัวเลือกที่อ้างอิง และตัวเลือกโปรไฟล์เอกสารได้ตามต้องการ แท็บนี้สามารถใช้ได้เมื่อมีการตั้งค่าฟิลด์ ประเภทโปรไฟล์ เป็น 2 - บันทึกและสร้างดัชนี หรือ 3 - สร้างดัชนีเท่านั้น บนเพจ การตั้งค่าทั่วไป ตัวอย่างเช่น ระบุ:

การรักษาความปลอดภัย

ให้หรือย้ายออกสิทธิ์การเข้าใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์สำหรับผู้ใช้ไคลเอนต์ตามบทบาทที่ระบุไว้ก่อนหน้า (โปรดดู คอนฟิเกอร์การรักษาความปลอดภัยของโปรซีเจอร์)

หลังการประมวลผล

กำหนดกระบวนการของรีลีสที่ผู้ใช้สามารถใช้ได้เมื่อรีลีสแบทช์ (โปรดดู คอนฟิเกอร์การประมวลผลภายหลังของโปรไฟล์ไคลเอนต์)

ข้อมูลสรุป

ตรวจดูการตั้งค่าที่เลือกสำหรับโปรไฟล์ไคลเอนต์

เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์

คุณสามารถเพิ่มโปรไฟล์ไคลเอนต์ใหม่หรือแก้ไขโปรไฟล์ที่มีอยู่ในแท็บ การบันทึก

  • ขอแนะนำว่าอย่าทำการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ กับโปรไฟล์ไคลเอนต์หลังจากที่ผู้ใช้เริ่มบันทึกแบทช์โดยใช้โปรไฟล์ไปแล้ว แต่ให้คุณเปลี่ยนโปรไฟล์ไคลเอนต์เป็นโปรไฟล์แบบดัชนีอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สร้างดัชนีและรีลีสแบทช์ที่มีอยู่ได้โดยไม่มีการบันทึกแบทช์เพิ่มเติม

    หากต้องการเปลี่ยนแปลงโปรไฟล์ไคลเอนต์เพิ่มเติม ให้สร้างสำเนาโปรไฟล์การใช้งานจริงที่คุณสามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้อย่างปลอดภัยจนกว่าโปรไฟล์ใหม่จะพร้อมสำหรับการใช้งานจริง

  • บันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์เป็นระยะเมื่อทำการเปลี่ยนแปลง รันไคลเอนต์เพื่อดูและทดสอบการเปลี่ยนแปลงโปรไฟล์ หลังจากแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ ฟิลด์เมตะดาต้า หรือโปรไฟล์เอกสารแล้ว ให้ออกจากระบบและเข้าสู่ระบบไคลเอนต์อีกครั้งเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของโปรซีเจอร์ที่ปรากฏในไคลเอนต์

หากต้องการเพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้

  1. ในช่องโปรซีเจอร์ทางด้านซ้าย ให้เลือกโปรซีเจอร์ของคุณ
    เพจคอนฟิเกอเรชันสำหรับโปรซีเจอร์ที่เลือกไว้จะปรากฏทางด้านขวา
  2. เปิดแท็บ บันทึก ของโปรซีเจอร์ของคุณ
  3. ในตาราง โปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้คลิก เพิ่มโปรไฟล์ไคลเอนต์ หรือเลือกโปรไฟล์แล้วคลิก แก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์

    หากต้องการสร้างโปรไฟล์ที่เหมือนกันอีกรายการหนึ่ง ให้คัดลอกโปรไฟล์ไคลเอนต์ที่มีอยู่โดยคลิก คัดลอกโปรไฟล์ไคลเอนต์ และแก้ไขตามที่จำเป็น

  4. ในโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้เลือกการตั้งค่าที่ใช้ได้ในแต่ละเพจ (โปรดดูตารางใน เกี่ยวกับโปรไฟล์ไคลเอนต์
  5. คลิก ส่ง เพื่อบันทึกและปิดโปรไฟล์

เลิกใช้งานหรือลบโปรไฟล์ไคลเอนต์

คุณสามารถกำหนดให้ผู้ใช้ไคลเอนต์สามารถเข้าใช้หรือไม่สามารถเข้าใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์ได้ โดยการเปิดใช้งานหรือเลิกใช้งานโปรไฟล์ ตามค่าดีฟอลต์ โปรไฟล์ไคลเอนต์มีสถานะใช้งาน (ออนไลน์) คุณสามารถเปลี่ยนโปรไฟล์ไคลเอนต์เป็นออฟไลน์เพื่อวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหา หรือเพื่อเลิกใช้โปรไฟล์ก่อนที่จะลบออก ก่อนที่คุณจะลบโปรไฟล์ ให้เลิกใช้งานโปรไฟล์เป็นระยะเวลาหนึ่ง

การลบโปรไฟล์ไคลเอนต์ไม่ส่งผลกระทบกับแบทช์ที่บันทึกก่อนหน้านี้โดยใช้โปรไฟล์ เนื่องจากผู้ใช้จะเห็นแบทช์ทั้งหมดล็อคอยู่โดยไม่สนใจการตั้งค่าฟิลเตอร์แบทช์ ผู้ใช้อาจสามารถเลือกโปรไฟล์ไคลเอนต์อื่น และดำเนินการดู แก้ไขและรีลีสแบทช์ต่างๆ ที่พวกเขาสร้างขึ้นโดยใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์ที่ลบออก

ในการเลิกใช้งานหรือลบโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้
  1. ในช่องโปรซีเจอร์ทางด้านซ้าย ให้เลือกโปรซีเจอร์ของคุณ
    เพจคอนฟิเกอเรชันสำหรับโปรซีเจอร์ที่เลือกไว้จะปรากฏทางด้านขวา
  2. เปิดแท็บ บันทึก
  3. ในตารางโปรไฟล์ไคลเอนต์ เลือกโปรไฟล์ที่คุณต้องการเลิกใช้งานก่อน แล้วจึงลบโปรไฟล์เหล่านั้น
  4. คลิก ท็อกเกิลไอคอนเพื่อเปิดใช้งานหรือเลิกใช้งานโปรไฟล์ไคลเอนต์ เพื่อเลิกใช้งานโปรไฟล์
    คุณสามารถเปิดใช้งานหรือเลิกใช้งานโปรไฟล์ไคลเอนต์ได้โดยการคลิก ออนไลน์/ออฟไลน์ บนแท็บ บันทึก
  5. เลือกโปรไฟล์ที่เลิกใช้งาน แล้วคลิก ลบโปรไฟล์ไคลเอนต์ เมื่อระบบแสดงพรอมต์ ให้ยืนยันว่าคุณต้องการลบโปรไฟล์นี้

คอนฟิเกอร์ประเภทโปรไฟล์ไคลเอนต์

ประเภทโปรไฟล์ไคลเอนต์ที่คุณเลือกเป็นตัวกำหนดว่าผู้ใช้จะใช้โปรไฟล์อย่างไร และกำหนดว่าผู้ใช้จะบันทึกเอกสารและป้อนค่าเมตะดาต้าหรือไม่ นอกจากนี้ประเภทโปรไฟล์ยังมีผลกับวิธีการสร้างเอกสารภายในแบทช์ด้วย

ในการคอนฟิเกอร์ประเภทโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้
  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ และเลือกเพจ การตั้งค่าทั่วไป
  2. ในฟิลด์ ประเภทโปรไฟล์ ให้เลือกประเภทโปรไฟล์หนึ่งดังต่อไปนี้: บันทึกอย่างเดียว, บันทึกและสร้างดัชนี หรือ สร้างดัชนีเท่านั้น
  3. คลิก ส่ง เพื่อบันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์

บันทึกอย่างเดียว

เลือกประเภทโปรไฟล์ 1 - บันทึกอย่างเดียว เมื่อคุณต้องการให้ผู้ใช้สแกนหรืออิมปอร์ตเอกสาร แต่ไม่สร้างดัชนีสำหรับเอกสาร ประเภทนี้มักใช้สำหรับแบทช์ที่สร้างดัชนีในภายหลังโดยตัวประมวลผลการรับรู้ในขั้นตอนการประมวลผลภายหลัง เมื่อผู้ใช้เลือกโปรไฟล์ "บันทึกอย่างเดียว" ช่องเมตะดาต้าจะไม่ปรากฏในวินโดว์ไคลเอนต์

  • เมื่อผู้ใช้ สแกนแบทช์ ไคลเอนต์จะสแกนกระดาษทุกหน้าที่โหลดเข้าสู่สแกนเนอร์ และสร้างเอกสารเดียว ผู้ใช้ไคลเอนต์สามารถแบ่งเอกสารหนึ่งเป็นเอกสารหลายรายการได้โดยใช้ตัวเลือก สร้างเอกสารใหม่ หรือตัวประมวลผลแบทช์ เช่น ตัวประมวลผลการรับรู้สามารถดำเนินการแบ่งเอกสารได้

  • เมื่อผู้ใช้ อิมปอร์ตแบทช์ ตัวเลือกการอิมปอร์ตที่ผู้ใช้เลือกจะเป็นตัวกำหนดว่าจะสร้างเอกสารเดียวหรือหลายเอกสาร

  • แม้ว่าผู้ใช้ไคลเอนต์ไม่สามารถสร้างดัชนีเอกสาร แต่ผู้ใช้สามารถแบ่งเอกสารโดยใช้ตัวเลือก สร้างเอกสารใหม่

  • เมื่อใช้โปรไฟล์ "บันทึกอย่างเดียว" ตัวเลือกการสร้างดัชนีและการสร้างเอกสารจะไม่สามารถใช้ได้ การตั้งค่าในเพจ การตั้งค่าการสร้างดัชนีเอกสาร จะไม่สามารถใช้ได้

บันทึกและสร้างดัชนี

เลือกประเภทโปรไฟล์ 2 - บันทึกและสร้างดัชนี เมื่อคุณต้องการให้ผู้ใช้บันทึกเอกสารและสร้างดัชนี เมื่อผู้ใช้เลือกโปรไฟล์บันทึกและสร้างดัชนี ช่องเมตะดาต้าจะปรากฏในวินโดว์ไคลเอนต์เมื่อเปิดแบทช์

  • เมื่อผู้ใช้ สแกนแบทช์ โดยใช้โปรไฟล์ "บันทึกและสร้างดัชนี" ตัวเลือกการสร้างเอกสาร ที่เลือกในเพจ การตั้งค่าการสร้างดัชนีเอกสาร จะเป็นตัวกำหนดวิธีสร้างเอกสาร ตามคำอธิบายใน คอนฟิเกอร์การสร้างเอกสาร ตัวอย่างเช่น ตัวเลือกการสร้างเอกสาร หนึ่งเพจ (หน้าเดียว) จะสร้างเอกสารใหม่หลังจากที่บันทึกแต่ละเพจ ผู้ใช้สามารถใช้ตัวเลือก สร้างเอกสารใหม่ เพื่อคั่นเอกสาร หรือใช้ชีทคั่นเพจที่ว่างเปล่าเพื่อคั่นและกำหนดเอกสารในแบทช์โดยอัตโนมัติ

  • เมื่อผู้ใช้ อิมปอร์ตแบทช์ โดยใช้โปรไฟล์ "บันทึกและสร้างดัชนี" ตัวเลือกการอิมปอร์ตที่เลือกจะเป็นตัวกำหนดว่าจะสร้างเอกสารหนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ผู้ใช้สามารถใช้ตัวเลือก สร้างเอกสารใหม่ เพื่อคั่นเอกสารในแบทช์

สร้างดัชนีเท่านั้น

เลือกประเภทโปรไฟล์ 3 - สร้างดัชนีเท่านั้น เมื่อคุณต้องการให้ผู้ใช้สร้างดัชนีเอกสารจากแบทช์ที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ ตัวอย่างเช่น แบทช์ที่สร้างโดยใช้สแกนเนอร์งานผลิตแบบความเร็วสูงจะสามารถประมวลผลโดยผู้ใช้ที่สร้างดัชนีหลายรายโดยใช้ไคลเอนต์ เมื่อผู้ใช้เลือกโปรไฟล์ "สร้างดัชนีเท่านั้น" ช่องเมตะดาต้าจะแสดงผลในวินโดว์ไคลเอนต์ แต่ตัวเลือกการบันทึกในช่องแบทช์จะไม่ปรากฏ ทำให้ไม่สามารถสแกนหรืออิมปอร์ตเพื่อเพิ่มเพจในแบทช์

คุณอาจสร้างโปรไฟล์ "สร้างดัชนีเท่านั้น" เมื่อ:

  • มีผู้ใช้หลายกลุ่มสแกนกับแบทช์ของดัชนี

  • ผู้ใช้ที่สร้างดัชนีดำเนินการสร้างหรือตรวจสอบดัชนี

  • แบทช์ต้องมีการแก้ไข แต่ผู้ใช้ที่สร้างดัชนีไม่มีสิทธิ์เข้าใช้สแกนเนอร์

ฟิลเตอร์ลิสต์แบทช์ที่แสดงต่อผู้ใช้

คุณมีตัวเลือกต่างๆ สำหรับกำหนดแบทช์ที่ผู้ใช้สามารถดูและเข้าใช้ในลิสต์สำหรับช่องแบทช์ของไคลเอนต์ ตัวอย่างเช่น คุณอาจคอนฟิเกอร์โปรไฟล์ไคลเอนต์ให้ผู้ใช้สามารถดูแบทช์ใดก็ได้ในโปรซีเจอร์ หรือจำกัดลิสต์ของแบทช์ไว้เฉพาะแบทช์ที่ผู้ใช้บันทึกในเวิร์กสเตชันของตนเองซึ่งมีคำนำหน้าที่กำหนดและมีข้อผิดพลาด

หลักเกณฑ์ต่อไปนี้จะอธิบายว่าแบทช์ใดจะปรากฏในช่องแบทช์ให้ผู้ใช้เห็น

  • แบทช์ที่ล็อคไว้สำหรับผู้ใช้จะปรากฏ เสมอ แต่บางแบทช์อาจไม่ปรากฏ ถ้าผู้ใช้ได้กำหนดขีดจำกัดของจำนวนสูงสุดที่จะแสดงผลในการตั้งค่าของไคลเอนต์

  • ผู้ใช้จะเห็นแบทช์ที่ถูกปลดล็อคหรือล็อคไว้สำหรับผู้ใช้อื่นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าฟิลเตอร์แบทช์ในโปรไฟล์ไคลเอนต์ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถจำกัดลิสต์ของแบทช์ไว้ที่แบทช์ที่มีคำนำหน้าบางคำ มีสภาวะบางอย่าง (เช่น ข้อผิดพลาด หรือกำลังประมวลผล) หรือที่มีสถานะหรือลำดับความสำคัญที่เลือกไว้

  • ผู้ใช้สามารถฟิลเตอร์ลิสต์ของแบทช์เพิ่มเติมในไคลเอนต์โดยใช้ตัวเลือกการค้นหา ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้อาจฟิลเตอร์ลิสต์ของแบทช์เพื่อแสดงชุดแบทช์ที่จำกัด เช่น แบทช์ที่มีลำดับความสำคัญสูงหรือแบทช์ที่เก่าเท่านั้น หรือค้นหาแบทช์ที่มีเอกสารอย่างน้อยหนึ่งเอกสารที่พบข้อผิดพลาด

ในการแสดงแบทช์ให้กับผู้ใช้ในวินโดว์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้

  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ และเลือกเพจ การตั้งค่าฟิลเตอร์แบทช์
  2. ในการตั้งค่าเพจ ให้ระบุการตั้งค่าฟิลเตอร์ที่จำกัดลิสต์ของแบทช์ที่จะปรากฏ และบันทึกการเปลี่ยนแปลงของคุณ ทำตามคำแนะนำและคำอธิบายของฟิลเตอร์ที่ปรากฏในตารางด้านล่างนี้
    • เงื่อนไข "และ" จะใช้ระหว่างฟิลเตอร์ ในกรณีนี้ ผู้ใช้จะเห็นเฉพาะแบทช์ที่ตรงกับฟิลเตอร์ที่เลือกไว้ทั้งหมด (เงื่อนไข "และ") ถ้าคุณระบุสถานะและลำดับความสำคัญของแบทช์ ระบบจะแสดงเฉพาะแบทช์ที่มีสถานะและลำดับความสำคัญนั้น

    • เงื่อนไข "หรือ" จะใช้ภายในฟิลเตอร์ ในกรณีนี้ ผู้ใช้จะเห็นแบทช์ที่ตรงกับฟิลเตอร์ใดก็ได้ที่เลือกไว้ (เงื่อนไข "หรือ") ถ้าคุณเลือก 1, 2 และ 3 ในฟิลด์ ลำดับความสำคัญ แบทช์ที่มีลำดับความสำคัญ 1, 2 หรือ 3 จะปรากฏ

ตาราง 11-2 การฟิลเตอร์แบทช์

ฟิลเตอร์ ตัวอย่างการใช้งาน

คำนำหน้าแบทช์เพิ่มเติม

ผู้ใช้จะเห็นแบทช์ที่สร้างโดยมีคำนำหน้าแบทช์ของโปรไฟล์ที่เลือกไว้เสมอ โดยขึ้นกับฟิลเตอร์อื่นๆ ด้วย

  • หากต้องการดูแบทช์ที่ตรงกับคำนำหน้าแบทช์ของโปรไฟล์ ให้ป้อนคำนำหน้าแบทช์ที่นี่

  • นอกจากนี้ ถ้าต้องการดูแบทช์ที่มีคำนำหน้าอื่นนอกเหนือจากคำนำหน้าของแบทช์นั้นเองในโปรไฟล์ ให้ระบุที่นี่เพื่อรวมคำนำหน้าของโปรไฟล์ ใส่เครื่องหมาย ; (เซมิโคลอน) เพื่อคั่นคำนำหน้า

  • เว้นฟิลด์นี้ว่างไว้ เพื่อให้ผู้ใช้เห็นแบทช์ที่สร้างโดยโปรไฟล์ใดก็ได้ในโปรซีเจอร์นั้น โดยไม่คำนึงถึงคำนำหน้า

สภาวะการประมวลผล

จำกัดการแสดงผลแบทช์ไว้เฉพาะสภาวะการประมวลผลที่เลือกไว้ สภาวะการประมวลผลเป็นสภาวะของระบบภายในที่ไม่สามารถกำหนดใหม่ได้

  • ใช้สภาวะ พร้อม เพื่อแสดงแบทช์ที่ปลดล็อคอยู่และพร้อมให้ผู้ใช้เลือกเพื่อใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น ใช้สภาวะนี้เพื่อแสดงแบทช์ประเภท "สร้างดัชนีเท่านั้น" ซึ่งปลดล็อคอยู่ เพื่อสร้างดัชนีให้แก่ผู้ใช้

  • ใช้สภาวะ ล็อค เพื่อแสดงแบทช์ที่ถูกล็อคอยู่กับผู้ใช้ใดก็ได้

  • ใช้สภาวะ ข้อผิดพลาด เพื่อแสดงแบทช์ที่มีเอกสารอย่างน้อยหนึ่งรายการที่พบข้อผิดพลาด ตัวอย่างเช่น ใช้สภาวะนี้เพื่อแสดงแบทช์ที่จำเป็นต้องมีการแก้ไขโดยผู้ใช้ที่มีคุณสมบัติ

  • ใช้สภาวะ การประมวลผล เพื่อแสดงแบทช์ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลโดยตัวประมวลผลแบทช์

สถานะของแบทช์

จำกัดการแสดงผลแบทช์ไว้เฉพาะสถานะของแบทช์ที่สร้างในแท็บ การจัดประเภท ตัวอย่างเช่น เลือกสถานะของแบทช์ สแกนใหม่ หรือ ต้องตรวจดู เพื่อแสดงแบทช์ที่ต้องมีการดำเนินการโดยผู้ใช้ที่มีคุณสมบัติ

ลำดับความสำคัญ

จำกัดการแสดงผลแบทช์ไว้เฉพาะลำดับความสำคัญที่ระบุ ตัวอย่างเช่น เลือกลำดับความสำคัญ 10 เพื่อแสดงแบทช์ที่ผู้ใช้ต้องดำเนินการทันที

การแสดงผลแบทช์

จำกัดการแสดงผลตามผู้ใช้และที่ตั้ง

  • เลือก ผู้ใช้และเวิร์กสเตชัน เพื่อแสดงเฉพาะแบทช์ที่ผู้ใช้ปัจจุบันบันทึกไว้ในเวิร์กสเตชันปัจจุบันของตน ตัวอย่างเช่น คุณอาจเลือกการตั้งค่านี้สำหรับกรณีที่เป็นผู้ใช้ทางธุรกิจ ซึ่งไม่ควรเปิดแบทช์ข้อมูลของผู้ใช้อื่น

  • เลือก ผู้ใช้ เพื่อแสดงแบทช์ที่ผู้ใช้ปัจจุบันบันทึกไว้ในเวิร์กสเตชัน ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ทั่วไปซึ่งผู้ใช้ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบการสแกนและการสร้างดัชนี ผู้ใช้ทั้งหมดจะไปที่เวิร์กสเตชันการสแกนหนึ่งเพื่อล็อกอินและสแกนแบทช์เอกสาร จากนั้นไปที่เวิร์กสเตชันของตนเองเพื่อสร้างดัชนี

  • เลือก ผู้ใช้ทั้งหมด (ค่าดีฟอลต์) เพื่อแสดงแบทช์แก่ผู้ใช้ โดยไม่คำนึงว่าใช้เวิร์กสเตชันใดในการบันทึกหรือใครเป็นผู้บันทึก

จำนวนวันที่ผ่านมา

ป้อนตัวเลขในฟิลด์ จาก และ ถึง เพื่อแสดงแบทช์ที่มีอายุอยู่ระหว่างจำนวนวันที่ระบุ ตัวอย่างเช่น คุณอาจแสดงแบทช์ที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 7 ถึง 45 วัน

การจัดเรียงหลัก, การจัดเรียงรอง

ระบุวิธีการจัดเรียงแบทช์ และเลือกลำดับการจัดเรียงจากน้อยไปมากหรือมากไปน้อย คุณสามารถระบุการจัดเรียงหลักและการจัดเรียงรองตาม:

  • ชื่อแบทช์

  • จำนวนรายการแบทช์

  • วันที่ของแบทช์

  • ลำดับความสำคัญของแบทช์

  • สถานะของแบทช์

ตัวอย่างเช่น จัดเรียงแบทช์เพื่อให้แบทช์ที่มีลำดับความสำคัญสูงสุดปรากฏที่ด้านบนสุด และแบทช์ที่มีลำดับความสำคัญเท่ากันจะแสดงแบทช์ที่มีวันที่เก่าสุดก่อน

หมายเหตุ:

การตั้งค่านี้จะระบุลำดับการจัดเรียงดีฟอลต์ให้กับโปรไฟล์ไคลเอนต์ และผู้ใช้สามารถเปลี่ยนลำดับการจัดเรียงได้หลังจากที่แสดงผลแบทช์แล้ว

คอนฟิเกอร์การบันทึกรูปภาพและพื้นที่เก็บข้อมูล

เมื่อผู้ใช้บันทึกเอกสารใน Content Capture Client การตั้งค่ารูปภาพจะมาจากสองที่มา:

  • การตั้งค่าโปรไฟล์ไคลเอนต์ ซึ่งมีคำอธิบายในหัวข้อนี้ การตั้งค่าเหล่านี้จะมีผลกับแบทช์ทั้งหมดที่บันทึกโดยใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์นี้ ในบางกรณี ผู้ใช้สามารถแก้ไขการตั้งค่าเหล่านี้ได้

  • การตั้งค่าสแกนเนอร์ ซึ่งเป็นการตั้งค่าเฉพาะสำหรับสแกนเนอร์ที่เลือกไว้ และสแกนเนอร์ที่เลือกโดยผู้ใช้ ผู้ใช้จะเลือกการตั้งค่านี้หลังจากคลิก การตั้งค่าการบันทึก ในช่องแบทช์ เมื่อเลือกแล้ว ระบบจะบันทึกการตั้งค่านี้ไว้กับโปรไฟล์ไคลเอนต์

ในการคอนฟิเกอร์การตั้งค่าการบันทึกไฟล์ที่เป็นรูปภาพและที่ไม่ใช่รูปภาพในโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้:

  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ และเลือกเพจ การตั้งค่ารูปภาพ

  2. คอนฟิเกอร์การตั้งค่ารูปภาพ

    1. ในฟิลด์ สีดีฟอลต์ ให้ระบุสีดีฟอลต์ (ขาวดำ, เกรย์สเกล หรือ สี) โดยกำหนดคุณภาพของรูปภาพให้สมดุลกับขนาดของรูปภาพ

      ถ้าคุณปล่อยให้ฟิลด์นี้มีค่าเป็น <ไม่ได้ระบุ> ระบบจะใช้สีที่เลือกไว้ของสแกนเนอร์ (สีที่ผู้ใช้ไคลเอนต์เลือกไว้หรือเป็นการตั้งค่าดีฟอลต์ของสแกนเนอร์)

      เลือกฟิลด์ ป้องกันการแก้ไขค่าดีฟอลต์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ไคลเอนต์สามารถแก้ไขการตั้งค่าสีของสแกนเนอร์ การตั้งค่านี้อาจไม่มีผลกับสแกนเนอร์บางเครื่อง

    2. ในฟิลด์ DPI ดีฟอลต์ ให้ระบุ DPI ดีฟอลต์ (100, 150, 200, 240, 300, 400 หรือ 600) โดยกำหนดคุณภาพของรูปภาพให้สมดุลกับขนาดของรูปภาพ

      ถ้าคุณปล่อยให้ฟิลด์นี้มีค่าเป็น <ไม่ได้ระบุ> ระบบจะใช้ DPI ที่เลือกไว้ของสแกนเนอร์ (DPI ที่ผู้ใช้ไคลเอนต์เลือกไว้หรือเป็นการตั้งค่าดีฟอลต์ของสแกนเนอร์)

      เลือกฟิลด์ ป้องกันการแก้ไขค่าดีฟอลต์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขความละเอียดของรูปภาพในการตั้งค่าสแกนเนอร์ในไคลเอนต์ การตั้งค่านี้อาจไม่มีผลกับสแกนเนอร์บางเครื่อง

    3. ในฟิลด์ เกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนไบต์ในเพจว่างเปล่า คุณสามารถ คอนฟิเกอร์การตรวจหาเพจว่างเปล่า

    4. ในการระบุความสว่างและความเปรียบต่างของรูปภาพดีฟอลต์ ให้เลือกฟิลด์ ใช้ความสว่างและความเปรียบต่างดีฟอลต์ และเลื่อนตัวเลื่อนเพื่อปรับค่าขึ้นลง ผู้ใช้ไคลเอนต์อาจแก้ไขการตั้งค่าเหล่านี้ได้ ถ้ามีการอนุญาตไว้ในวินโดว์การตั้งค่าสำหรับสแกนเนอร์นั้นๆ

      หมายเหตุ:

      รูปภาพผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามสแกนเนอร์แต่ละรุ่น ดังนั้น การใช้ความสว่างและความเปรียบต่างดีฟอลต์จึงให้ผลดีที่สุด เมื่อใช้สแกนเนอร์รุ่นเดียวกับโปรไฟล์ไคลเอนต์

  3. คอนฟิเกอร์การตั้งค่าไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพ

  4. คลิก ส่ง เพื่อบันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์

คอนฟิเกอร์การตรวจหาเพจว่างเปล่า

เอกสารที่เป็นรูปภาพซึ่งผู้ใช้บันทึกอาจมีเพจว่างเปล่า คุณสามารถคอนฟิเกอร์ Content Capture ให้ลบเพจว่างเปล่าออกจากแบทช์โดยอัตโนมัติ ในการดำเนินการนี้ คุณต้องระบุวิธีที่จะใช้ในการตรวจหาเพจว่างเปล่า กล่าวคือ คุณต้องระบุขนาดไฟล์ที่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ ซึ่งรูปภาพใดก็ตามที่มีขนาดต่ำกว่าหรือเท่ากับเกณฑ์ขั้นต่ำนี้จะถือว่าเป็นเพจว่างเปล่า และถูกลบออก

คุณสามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างในการคอนฟิเกอร์ชีทคั่นและการตรวจหาเพจว่างเปล่าได้ที่ คอนฟิเกอร์การใช้ชีทคั่น

ในการคอนฟิเกอร์การตรวจหาเพจว่างเปล่า ให้ทำดังนี้
  1. เมื่อกคุณ เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้เลือกเพจ การตั้งค่ารูปภาพ
  2. ในฟิลด์ เกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนไบต์ในเพจว่างเปล่า ให้ป้อนค่าของขนาดไฟล์ (เป็นจำนวนไบต์) ผู้ใช้สามารถแก้ไขการตั้งค่าเกณฑ์ขั้นต่ำนี้ได้ในวินโดว์การตั้งค่าของไคลเอนต์ โดยป้อนตัวเลขในฟิลด์ จำนวนไบต์ต่ำสุดที่สแกนก่อนลบเพจ

    สำหรับรูปภาพขาวดำ (รูปภาพ 200 x 200 DPI) ค่าที่แนะนำคือ 1500 การตั้งค่านี้จะทำให้ Content Capture สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเพจว่างเปล่าและเพจที่มีข้อความน้อย

  3. คลิก ส่ง เพื่อบันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์

คอนฟิเกอร์การตั้งค่าการบันทึกไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพ

เอกสารกระดาษที่สแกนหรือไฟล์รูปภาพที่อิมปอร์ตจะได้รับการแปลงเป็นเอกสารรูปภาพใน Content Capture อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ใช้อิมปอร์ต ไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพ เช่น เอกสาร Microsoft Word หรือ PDF การตั้งค่าไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพในโปรไฟล์ไคลเอนต์จะกำหนดวิธีจัดการไฟล์เหล่านั้น

หากต้องการคอนฟิเกอร์การจัดการไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพในโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้

  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ และเลือกเพจ การตั้งค่ารูปภาพ
  2. ในฟิลด์ การดำเนินการอิมปอร์ตไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพ ให้เลือกการดำเนินการที่จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้เลือกไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพเพื่ออิมปอร์ต
    • ไม่อิมปอร์ต: หากเลือกตัวเลือกนี้ ผู้ใช้จะเห็นข้อความแจ้งว่าไม่สามารถอิมปอร์ตไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพได้ และจะไม่มีการสร้างแบทช์ขึ้น

    • อิมปอร์ตในรูปแบบดั้งเดิม: หากเลือกตัวเลือกนี้ ระบบจะบันทึกไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพในรูปแบบดั้งเดิม ผู้ใช้สามารถสร้างดัชนีเอกสารที่ไม่ใช่รูปภาพ แต่ไม่สามารถแก้ไขเพจแต่ละเพจได้

    • แปลงเป็นรูปแบบรูปภาพ: หากเลือกตัวเลือกนี้ ระบบจะแปลงไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพเป็นรูปภาพโดยใช้การตั้งค่าการแปลงไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพที่เลือกไว้ในเพจนี้

  3. หากจำเป็น ให้ระบุจำนวนเพจสูงสุดเพื่อแสดงต่อผู้ใช้ไคลเอนต์ในฟิลด์ ขีดจำกัดเพจการแสดงตัวอย่างไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพ

    การตั้งค่านี้มีประโยชน์ต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของไคลเอนต์ โดยจะมีผลเฉพาะกับเอกสารที่ไม่ใช่รูปภาพที่จัดเก็บไว้ในรูปแบบดั้งเดิม ค่าดีฟอลต์คือ 25 เพจ ระบุค่า 0 เพื่อข้ามการระบุจำนวนเพจสูงสุดที่จะแสดงตัวอย่าง

  4. หากจำเป็น ให้กรอกข้อมูลการตั้งค่าฟิลด์ การแปลงไฟล์ที่ไม่ใช่รูปภาพ

    การตั้งค่าเหล่านี้จะใช้ได้เมื่อเลือก แปลงเป็นรูปแบบรูปภาพ ในขั้นตอนที่ 2 โดยคุณจะต้องระบุสี คุณภาพของรูปภาพ JPEG และความละเอียด DPI ที่จะใช้กับรูปภาพระหว่างการแปลงไฟล์

  5. คลิก ส่ง เพื่อบันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์

คอนฟิเกอร์การสร้างเอกสาร

เมื่อคอนฟิเกอร์โปรไฟล์ไคลเอนต์ โปรดตรวจสอบว่าได้ระบุวิธีสร้างเอกสารภายในแบทช์แล้ว ตัวอย่างเช่น ต้องการให้บันทึกเอกสารตามจำนวนเพจที่กำหนด เช่น เอกสารด้านเดียว หรือเอกสารสองด้านหรือไม่ ใช้ชีทคั่นเพื่อระบุว่าสิ้นสุดเอกสารหนึ่งและเริ่มเอกสารถัดไปหรือไม่ หรือจะแสดงพรอมท์ต่อผู้ใช้เพื่อระบุวิธีสร้างเอกสารตามเนื้อหาแบทช์หรือไม่

หากต้องการตั้งค่าตัวเลือกการสร้างเอกสารในโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้

  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ และเลือกเพจ การตั้งค่าการสร้างดัชนีเอกสาร

    หมายเหตุ:

    ตัวเลือกการสร้างเอกสารจะไม่มีผลกับโปรไฟล์แบบบันทึกอย่างเดียว โปรดดู บันทึกอย่างเดียว

  2. ในฟิลด์ ตัวเลือกการสร้างเอกสาร ให้ใช้ตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งต่อไปนี้แล้วบันทึกการเปลี่ยนแปลง
    • เพจเดียว (หนึ่งด้าน): ตัวเลือกนี้จะสร้างเอกสารแบบเพจเดียว และมักจะใช้กับเอกสารแบบด้านเดียว เมื่อผู้ใช้สแกนแบทช์ ไคลเอนต์จะแทรกรูปภาพที่สแกนแต่ละรายการเป็นเพจในเอกสารนั้นๆ

      การตั้งค่าหนึ่งด้าน/สองด้านของเครื่้องสแกนเป็นตัวกำหนดว่าจะสแกนเพจด้านเดียวหรือทั้งสองด้าน หากตั้งค่าโปรไฟล์เป็นเพจเดียว (หนึ่งด้าน) ไคลเอนต์จะสร้างเอกสารแบบเพจเดียว ไม่ว่าจะตั้งค่าสแกนเนอร์เป็นหนึ่งด้าน/สองด้านก็ตาม

    • สองเพจ (สองด้าน): ตัวเลือกนี้จะสร้างเอกสารแบบสองเพจ และมักจะใช้กับเอกสารสองด้าน เช่น แบบฟอร์มที่มีสองด้าน เมื่อผู้ใช้สแกนแบทช์ ไคลเอนต์จะแทรกรูปภาพที่สแกนสองภาพในเอกสารนั้นๆ

      การตั้งค่าหนึ่งด้าน/สองด้านของเครื่้องสแกนเป็นตัวกำหนดว่าจะสแกนเพจด้านเดียวหรือทั้งสองด้าน หากตั้งค่าโปรไฟล์เป็นสองเพจ (สองด้าน) ไคลเอนต์จะสร้างเอกสารแบบสองเพจ ไม่ว่าจะตั้งค่าสแกนเนอร์เป็นหนึ่งด้าน/สองด้านก็ตาม

    • จำนวนเพจแปรผัน: ตัวเลือกนี้จะสร้างเอกสารที่มีจำนวนเพจแบบแปรผัน

      • หากผู้ใช้แทรกชีทคั่นระหว่างเอกสารและมีการคอนฟิเกอร์โปรไฟล์ให้ใช้ชีทคั่น ไคลเอนต์จะสแกนเพจทั้งหมดไปยังเอกสารเดียวกันจนกว่าจะตรวจพบชีทคั่น ซึ่งจะเป็นการเริ่มเอกสารใหม่ สแกนเพจทั้งหมดจนกว่าจะพบชีทคั่นถัดไป และเป็นเช่นนี้เรื่อยไป ไคลเอนต์ Content Capture จะละทิ้งเพจชีทคั่นและจัดให้เอกสารทั้งหมดอยู่ในแบทช์เดียว ในฟิลด์ เกณฑ์จำนวนไบต์ของชีทคั่น ให้คุณคอนฟิเกอร์เกณฑ์ในการตรวจหาชีทคั่นตามที่อธิบายไว้ใน คอนฟิเกอร์การใช้ชีทคั่น

      • หากผู้ใช้ ไม่ แทรกชีทคั่นระหว่างเอกสาร ไคลเอนต์จะสแกนเพจทั้งหมดบนสแกนเนอร์ลงในเอกสารเดียวในแบทช์ หลังจากสแกน ผู้ใช้สามารถกำหนดเอกสารโดยใช้ตัวเลือก สร้างเอกสารใหม่

    • แสดงพรอมท์ต่อผู้ใช้: ตัวเลือกนี้จะแสดงพรอมท์ต่อผู้ใช้ด้วยไดอะล็อกตัวเลือกการสร้างเอกสารทุกครั้งที่เริ่มสแกน โดยสอบถามวิธีที่ผู้ใช้ต้องการสร้างเอกสารภายในแบทช์ ผู้ใช้สามารถเลือกจำนวนเพจที่แน่นอน (หนึ่งเพจหรือสองเพจ) หรือเลือกจำนวนเพจที่แปรผัน

คอนฟิเกอร์การใช้ชีทคั่น

คุณสามารถคอนฟิเกอร์โปรไฟล์ไคลเอนต์เพื่อใช้ชีทคั่นสำหรับกำหนดว่าควรจะคั่นเอกสารเมื่อใด สำหรับรูปภาพที่มีขนาดไฟล์ต่ำกว่าหรือเท่ากับค่าเกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนไบต์ที่คุณระบุ ระบบจะสร้างเอกสารใหม่และลบชีทคั่นออก

ในการคอนฟิเกอร์โปรไฟล์ไคลเอนต์ให้ตรวจหาชีทคั่น ให้ทำดังนี้

  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ และเลือกเพจ การตั้งค่าการสร้างดัชนีเอกสาร

    ในการตรวจหาชีทคั่น ให้ตั้งค่าฟิลด์ ประเภทโปรไฟล์ เป็น 2 - บันทึกและสร้างดัชนี และตั้งค่าฟิลด์ ตัวเลือกการสร้างเอกสาร เป็น จำนวนเพจที่แปรผัน หรือ พรอมต์ผู้ใช้ ถ้ามีการเลือกการตั้งค่าอื่นในฟิลด์เหล่านี้ การตั้งค่าฟิลด์ เกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนไบต์สำหรับชีทคั่น จะไม่มีผล

    นอกจากนี้ หากคุณเลือก พรอมต์ผู้ใช้ ในฟิลด์ ตัวเลือกการสร้างเอกสาร ผู้ใช้ไคลเอนต์สามารถแก้ไขเกณฑ์ขั้นต่ำของชีทคั่นที่คุณระบุในฟิลด์ชีทคั่นนี้ได้

  2. ในการตั้งค่าเพจ ให้ระบุค่าในฟิลด์ เกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนไบต์สำหรับชีทคั่น

    สำหรับขาวดำ (รูปภาพ 200 x 200 DPI) จำนวนไบต์ที่แนะนำคือ 1500 การตั้งค่านี้จะทำให้เพจว่างเปล่าที่เป็นตัวคั่นและเพจที่มีข้อความน้อยมีความแตกต่างกัน

    ฟิลด์ เกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนไบต์ในเพจว่างเปล่า จะตั้งค่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่มีการตรวจพบเพจที่ว่างเปล่า แต่ในกรณีนั้น เพจว่างเปล่าที่ตรวจพบจะถูกลบออก เพื่อไม่ถือว่าเป็นชีทคั่น

    หมายเหตุ:

    ถ้าทั้งสองฟิลด์มีค่าอื่นที่ไม่ใช่ 0 ระบบจะใช้เฉพาะฟิลด์ เกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนไบต์สำหรับชีทคั่น ระบบจะไม่ประมวลผลฟิลด์ เกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนไบต์ในเพจว่างเปล่า โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลบเพจว่างเปล่าได้ที่ คอนฟิเกอร์การตรวจหาเพจว่างเปล่า

  3. คลิก ส่ง เพื่อบันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์

ใช้ลิสต์ตัวเลือกอ้างอิงในโปรไฟล์ไคลเอนต์

ลิสต์ตัวเลือกอ้างอิงจะมีลิสต์ตัวเลือกระดับล่างอย่างน้อยสองรายการที่เชื่อมโยงกับฟิลด์ระดับบน โดยรายการหนึ่งจะปรากฏหลังจากที่ผู้ใช้เลือกข้อมูลในฟิลด์ระดับบน คุณสามารถใช้ลิสต์ตัวเลือกแบบหลายรายการ แต่ใช้การกำหนดลิสต์ตัวเลือกอ้างอิงให้กับโปรไฟล์ไคลเอนต์ได้เพียงหนึ่งรายการ ผ่านการกำหนดฟิลด์เมตะดาต้า

ในการใช้ลิสต์ตัวเลือกอ้างอิงในโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้
  1. ในแท็บ เมตะดาต้า สร้างลิสต์ตัวเลือกสองรายการขึ้นไป จากนั้นสร้าง ลิสต์ตัวเลือกอ้างอิง ที่เชื่อมโยง
  2. ในแท็บ บันทึก เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์
  3. ในฟิลด์ ลิสต์ตัวเลือกอ้างอิง ที่เพจ การตั้งค่าการสร้างดัชนีเอกสาร ให้เลือกลิสต์ตัวเลือกอ้างอิงที่คุณสร้างในขั้นตอน 1
  4. คลิก ส่ง เพื่อบันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์
    ในไคลเอนต์ ให้ทดสอบลิสต์ตัวเลือกอ้างอิงตามการใช้งานของผู้ใช้

ใช้งานการค้นหาข้อมูลในโปรไฟล์ไคลเอนต์

ในการใช้งานการค้นหารายการในโปรไฟล์ไคลเอนต์ คุณต้อง สร้างการค้นหารายการ บนแท็บเมตะดาต้าก่อน
ในการใช้งานการค้นหารายการในโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้
  1. บนแท็บ การบันทึก เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์
  2. ในเพจ การตั้งค่าการสร้างดัชนีเอกสาร ให้ไปที่ตารางการค้นหารายการ แล้วคลิก ใช้งานการค้นหารายการ
  3. ในไดอะล็อก ใช้งานการค้นหารายการ จากลิสต์แบบดรอปดาวน์ การค้นหารายการ ให้เลือกการค้นหาที่คุณสร้างไว้ในแท็บ เมตะดาต้า
  4. ในบ็อกซ์ ขีดจำกัดของรายการที่ส่งคืน ให้ป้อนตัวเลขเพื่อระบุจำนวนรายการที่จะส่งคืนระหว่างการค้นหา ค่าดีฟอลต์คือ 10
  5. เลือกช่องทำเครื่องหมาย แสดงรายการทุกครั้ง หากต้องการ
  6. คลิก ตกลง เพื่อให้การกำหนดคอนฟิเกอเรชันเสร็จสมบูรณ์
    ในไคลเอนต์การบันทึกเนื้อหา ให้ทดสอบการค้นหารายการในฐานะผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน

คอนฟิเกอร์โปรไฟล์เอกสารในโปรไฟล์ไคลเอนต์

โปรไฟล์เอกสารจะระบุชุดของฟิลด์เมตะดาต้าที่คุณสามารถใช้เพื่อสร้างดัชนีสำหรับประเภทเอกสารที่ระบุ และชุดของประเภทสิ่งที่แนบมาที่ใช้ได้สำหรับเอกสาร เมื่อคุณคอนฟิเกอร์โปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้เลือกโปรไฟล์เอกสารสำหรับประเภทเอกสารทั้งหมดที่จะสร้างดัชนี หรือทั้งบันทึกและสร้างดัชนีกับโปรไฟล์นั้น

ในการคอนฟิเกอร์โปรไฟล์เอกสารในโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้
  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ และเลือกเพจ การตั้งค่าการสร้างดัชนีเอกสาร

    ในการเข้าใช้เพจนี้ คุณต้องเลือกตัวเลือกการสร้างดัชนี 2 - บันทึกและสร้างดัชนี หรือ 3 - สร้างดัชนีเท่านั้น ในฟิลด์ ประเภทโปรไฟล์ ในเพจการตั้งค่าทั่วไป

  2. ในการตั้งค่าเพจ ให้กรอกข้อมูลในฟิลด์ โปรไฟล์เอกสาร
    • เลือกโปรไฟล์เอกสารที่ปรากฏ

    • เลือก ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกโปรไฟล์เอกสารที่กำหนดทั้งหมดได้

    • เลือก ดีฟอลต์ เพื่อให้ฟิลด์เมตะดาต้าทั้งหมดและประเภทสิ่งที่แนบมาที่กำหนดสำหรับโปรซีเจอร์นี้ใช้ได้ในโปรไฟล์เดียว ตัวเลือกนี้มีประโยชน์สำหรับการแก้ไขปัญหา

  3. คลิก ส่ง เพื่อบันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์

ให้สิทธิ์หรือยกเลิกสิทธิ์การรักษาความปลอดภัยของโปรไฟล์ไคลเอนต์

การบันทึกเนื้อหามีการรักษาความปลอดภัยไคลเอนต์เป็นเลเยอร์ต่างๆ ดังนี้

  • ผู้ดูแลระบบต้องระบุบทบาทผู้ใช้ที่เหมาะสม (CECCaptureClient) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าสู่ระบบไคลเอนต์การบันทึกเนื้อหาได้

  • ผู้จัดการโปรซีเจอร์อาจได้รับบทบาท ผู้จัดการโปรซีเจอร์และผู้ใช้ ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าใช้เพจโปรซีเจอร์สำหรับคอนฟิเกอเรชัน และไคลเอนต์การบันทึกเนื้อหาสำหรับการทดสอบคอนฟิเกอเรชันได้
  • ในการดูและเข้าใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์เฉพาะ ผู้จัดการโปรซีเจอร์จะระบุสิทธิ์เข้าใช้การรักษาความปลอดภัยโปรไฟล์ให้แก่ผู้ใช้

ในการให้สิทธิ์การเข้าใช้การรักษาความปลอดภัยโปรไฟล์ไคลเอนต์แก่ผู้ใช้การบันทึกเนื้อหา ให้ทำดังนี้

  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ และเลือกเพจการรักษาความปลอดภัย

    ตารางผู้ใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์จะแสดงรายการผู้ใช้และกลุ่มที่มีสิทธิ์เข้าใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์ คุณสามารถย้ายกลุ่มผู้ใช้ได้โดยการเลือกกลุ่มผู้ใช้ และคลิก ลบผู้ใช้ เมื่อคุณย้ายสิทธิ์เข้าใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์ออกจากผู้ใช้หรือกลุ่มแล้ว โปรไฟล์จะไม่ปรากฏในฟิลด์ โปรไฟล์ไคลเอนต์ ของไคลเอนต์การบันทึกเนื้อหาสำหรับการบันทึกแบทช์ใหม่อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้อาจยังคงสามารถเข้าใช้แบทช์ต่างๆ ที่บันทึกด้วยโปรไฟล์ที่มีการเลือกโปรไฟล์ไคลเอนต์อื่นไว้ได้

  2. ในการเพิ่มผู้ใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์ คลิก เพิ่มผู้ใช้ ในตาราง ผู้ใช้โปรไฟล์ไคลเอนต์
  3. ในไดอะล็อก เพิ่มสมาชิกในการรักษาความปลอดภัย ค้นหาและเพิ่มผู้ใช้หรือกลุ่มอย่างน้อยหนึ่งราย ใช้ฟิลด์ข้อความเพื่อค้นหาชื่อสมาชิกที่ระบุ คุณสามารถใช้อักขระ '*' เป็นสัญลักษณ์การค้นหาภายในชื่อกลุ่มหรือชื่อผู้ใช้
  4. เพิ่มสมาชิกในการรักษาความปลอดภัยที่คุณเลือกไว้ แล้วคลิก ส่ง เพื่อบันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์
ล็อกอินเข้าสู่ไคลเอนต์ในฐานะผู้ใช้ที่คุณเพิ่งเพิ่มไว้ หากโปรไฟล์ไคลเอนต์มีสถานะออนไลน์ โปรไฟล์ไคลเอนต์จะปรากฏในฟิลด์ โปรไฟล์ไคลเอนต์

คอนฟิเกอร์การประมวลผลภายหลังของโปรไฟล์ไคลเอนต์

ผู้ใช้ไคลเอนต์อาจปลดล็อคแบทช์หรือรีลีสแบทช์ผ่านกระบวนการรีลีสหลังจากที่ทำงานกับแบทช์เสร็จแล้ว ขั้นตอนถัดไปของแบทช์จะขึ้นอยู่กับคอนฟิเกอเรชันการประมวลผลภายหลังที่คุณระบุโดยใช้กระบวนการรีลีส ไม่ว่าจะแบบไหน แบทช์จะเข้าสู่การประมวลผลการคอมมิตตามโปรไฟล์การคอมมิตที่ใช้อยู่ซึ่งกำหนดไว้สำหรับโปรซีเจอร์ หรือไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ในคิวสำหรับการประมวลผลเพิ่มเติม เช่น โฟลว์ของแบทช์ไปยังงานการแปลงเป็น TIFF, โฟลว์ของแบทช์ไปยังงานการแปลงเป็น PDF, โฟลว์ของแบทช์ไปยังงานตัวประมวลผลการรับรู้, โฟลว์ของแบทช์ไปยังงานการค้นหาข้อมูล หรือ โฟลว์ของแบทช์ไปยังงานการแปลง XML

หากต้องการคอนฟิเกอร์การประมวลผลภายหลังสำหรับโปรไฟล์ไคลเอนต์ ให้ทำดังนี้

  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ จากนั้นเลือกเพจ การประมวลผลภายหลัง
  2. ในตาราง กระบวนการรีลีสที่ใช้ได้ ให้ เพิ่มหรือแก้ไขกระบวนการรีลีส
  3. คลิก ส่ง เพื่อบันทึกโปรไฟล์ไคลเอนต์

เพิ่ม แก้ไข หรือลบกระบวนการรีลีส

ในการเพิ่ม แก้ไข หรือลบกระบวนการรีลีส ให้ทำดังนี้
  1. เพิ่มหรือแก้ไขโปรไฟล์ไคลเอนต์ จากนั้นเลือกเพจ การประมวลผลภายหลัง
  2. ในตาราง กระบวนการรีลีสที่ใช้ได้ ให้คลิก เพิ่มกระบวนการรีลีส เพื่อเพิ่มกระบวนการรีลีส นอกจากนี้ คุณยังสามารถแก้ไขหรือลบกระบวนการรีลีส โดยเลือกกระบวนการในตารางและคลิก แก้ไขกระบวนการรีลีส หรือ ลบกระบวนการรีลีส
  3. ในไดอะล็อก การตั้งค่ากระบวนการรีลีส ให้ดำเนินการต่อไปนี้และคลิก ตกลง:
    1. ป้อนชื่อและคำอธิบายสำหรับกระบวนการรีลีส ชื่อจะปรากฏเป็นกระบวนการรีลีสที่เลือกไว้ภายใน Oracle Content Capture Client

    2. ในฟิลด์ ตัวประมวลผลแบทช์ ให้ระบุขั้นตอนถัดไปหลังจากที่ผู้ใช้รีลีสแบทช์ที่บันทึกไว้กับโปรไฟล์ไคลเอนต์นี้ คุณสามารถเลือก:
      • ตัวประมวลผลการคอมมิต: เลือกเพื่อส่งแบทช์ไปยังตัวประมวลผลนี้สำหรับการคอมมิตขั้นสุดท้าย (เอาต์พุต) ตัวอย่างเช่น คุณอาจเลือกขั้นตอนนี้หลังจากที่ผู้ใช้บันทึกและสร้างดัชนีของแบทช์ครบแล้ว

      • ตัวประมวลผลการรับรู้: เลือกเพื่อส่งแบทช์ไปยังตัวประมวลผลนี้สำหรับการรับรู้บาร์โค้ด ตัวอย่างเช่น คุณอาจส่งแบทช์ที่สแกนแต่ไม่ได้สร้างดัชนี เพื่อสร้างดัชนีอัตโนมัติผ่านการรับรู้บาร์โค้ด

      • การแปลงเป็น TIFF: เลือกเพื่อส่งแบทช์ไปยังตัวประมวลผลนี้สำหรับการแปลงเอกสารที่ไม่ใช่รูปภาพที่ผู้ใช้อิมปอร์ตเป็นรูปแบบรูปภาพ

      • การแปลงเป็น PDF: เลือกเพื่อส่งแบทช์ไปยังตัวประมวลผลนี้สำหรับการแปลงเอกสารเป็น PDF

      • ตัวประมวลผลการค้นหาข้อมูล: เลือกเพื่อส่งแบทช์ไปยังตัวประมวลผลนี้เพื่อเปิดใช้งานการค้นหาข้อมูล

      • ตัวประมวลผลการแปลง XML: เลือกเพื่อส่งแบทช์ไปยังตัวประมวลผลนี้เพื่อใช้งานการแปลง XML ของเอกสาร XML

    3. ถ้าคุณระบุการแปลงเป็น TIFF/PDF หรือการประมวลผลการรับรู้เป็นขั้นตอนถัดไป ให้เลือกงานการแปลงหรือการรับรู้ที่จะรันในฟิลด์ งานตัวประมวลผลแบทช์

    4. คุณสามารถเลือกฟิลด์ ดีฟอลต์ เพื่อระบุกระบวนการรีลีสนี้เป็นกระบวนการรีลีสดีฟอลต์สำหรับโปรไฟล์ไคลเอนต์